ดูหนัง The Punisher (2004) เพชฌฆาตมหากาฬ
ทุกท่าน! ในยุคที่หนังซูเปอร์ฮีโร่เต็มไปด้วยสีสันและความหวัง มีตัวละครอยู่คนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับทุกสิ่ง… เขาคือ “เดอะ พันนิชเชอร์” และภาพยนตร์ปี 2004 เรื่องนี้ คือการถ่ายทอดเรื่องราวของเขาออกมาในรูปแบบของหนัง “ล้างแค้น” สไตล์ยุค 70s ที่สมจริง, ดุดัน, และไม่ประนีประนอม วันนี้เราจะมา “ดูหนัง” ที่นำแสดงโดย โธมัส เจน ในบทบาทที่ทำให้เขากลายเป็นขวัญใจของแฟนๆ คอมิกไปตลอดกาล
เรื่องย่อ
แฟรงค์ แคสเซิล (โธมัส เจน) คือเจ้าหน้าที่ FBI พิเศษที่กำลังจะเกษียณตัวเองเพื่อไปใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกับภรรยาและลูกชาย แต่ในภารกิจสุดท้ายของเขา เรื่องราวเกิดผิดพลาดและนำไปสู่การเสียชีวิตของลูกชายของ โฮเวิร์ด เซนต์ (จอห์น ทราโวลต้า) หัวหน้าแก๊งค์มาเฟียผู้ทรงอิทธิพล
ด้วยความแค้น เซนต์ได้สั่งให้ลูกน้องทั้งหมดของเขาไปสังหารหมู่ครอบครัวของแฟรงค์ทั้งหมดในงานรวมญาติ! แฟรงค์ต้องทนดูภรรยา, ลูกชาย, พ่อแม่, และญาติพี่น้องทุกคนถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยมต่อหน้าต่อตา ตัวเขาเองถูกยิงและทิ้งให้ตาย แต่ปาฏิหาริย์ก็ทำให้เขารอดชีวิตมาได้
บัดนี้ แฟรงค์ แคสเซิล คนเก่าได้ “ตาย” ไปแล้ว เหลือเพียง “เดอะ พันนิชเชอร์” บุรุษผู้สวมเสื้อกะโหลกและอุทิศชีวิตที่เหลือทั้งหมดให้กับการ “ลงทัณฑ์” เขาได้วางแผนการล้างแค้นที่แยบยลและโหดเหี้ยมที่สุด เพื่อทำลายอาณาจักรของโฮเวิร์ด เซนต์ ให้พินาศย่อยยับลงไปทีละชิ้น และสังหารทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการตายของครอบครัวเขา movie24hd
อ่านรีวิวก่อน ดูหนัง
นักแสดงนำและผู้กำกับ
- โธมัส เจน (Thomas Jane) รับบทเป็น แฟรงค์ แคสเซิล / เดอะ พันนิชเชอร์: การแสดงที่ทั้งดิบ, หม่นหมอง, และเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ทำให้เขากลายเป็นภาพจำของตัวละครนี้สำหรับแฟนๆ จำนวนมาก
- จอห์น ทราโวลต้า (John Travolta) รับบทเป็น โฮเวิร์ด เซนต์: ตัวร้ายมาดนักธุรกิจผู้เย็นชา
- วิลล์ แพตตัน (Will Patton) รับบทเป็น เควนติน กลาส
- รีเบคกา โรมิจิน (Rebecca Romijn) รับบทเป็น โจแอน
- เควิน แนช (Kevin Nash) (นักมวยปล้ำร่างยักษ์) ในบท “เดอะ รัสเซียน” ที่น่าจดจำ
- ผู้กำกับ: โจนาธาน เฮนสเลห์ (Jonathan Hensleigh) (มือเขียนบทจาก Die Hard with a Vengeance และ Armageddon)
โปสเตอร์หนัง



รีวิวและบทวิเคราะห์
The Punisher (2004) คือหนังที่แตกต่างจากหนังมาร์เวลเรื่องอื่นๆ โดยสิ้นเชิง มันคือ “หนังล้างแค้น” (Revenge Film) พันธุ์แท้ ที่มีกลิ่นอายของหนังแอ็คชั่นยุค 70s อย่าง Death Wish
- โทนเรื่องที่จริงจังและดิบเถื่อน: หนังเรื่องนี้ไม่มีมุกตลกหรือความสดใสใดๆ มันเต็มไปด้วยบรรยากาศที่หม่นหมอง, ความรุนแรง, และความเจ็บปวดของตัวละครหลัก ซึ่งเป็นการตีความที่ซื่อตรงต่อคอมิกส์อย่างมาก
- การล้างแค้นที่ชาญฉลาด: แฟรงค์ แคสเซิล ในเรื่องนี้ไม่ใช่แค่นักบู๊บ้าระห่ำ แต่เขาคือนักวางแผนที่เก่งกาจ การล้างแค้นของเขาไม่ใช่แค่การบุกไปยิง แต่คือการใช้สงครามจิตวิทยาเพื่อทำลายศัตรูจากภายใน
- การแสดงของ โธมัส เจน: เขาคือหัวใจของหนังเรื่องนี้อย่างแท้จริง และเป็นเหตุผลที่ทำให้หนังกลายเป็นหนังคัลท์ที่แฟนๆ รัก แม้หนังจะได้รับคำวิจารณ์ที่ไม่ดีนัก
- IMDb: ให้คะแนน 6.4/10
- Rotten Tomatoes: ได้รับคะแนนจากฝั่งนักวิจารณ์เพียง 29% แต่กลับเป็นหนังที่ประสบความสำเร็จในตลาดวิดีโอและสร้างฐานแฟนคลับที่เหนียวแน่นได้อย่างน่าทึ่ง
หมื่นทิพ
หลังจากฉบับปี 1989 ล่มไม่เป็นท่า พอเวลาเดินมาถึงปี 2004 ก็มีการเอาเรื่องของพี่พันมาขึ้นจออีกครั้ง และสาเหตุสำคัญที่ทำให้ฮีโร่คนนี้ได้กลับมาใหม่ในตอนนั้น ก็คงหนีไม่พ้นเพราะการที่หนังซึ่งสร้างจากการ์ตูนของค่าย Marvel ประสบความสำเร็จติดต่อกัน ไม่ว่าจะ Blade, X-Men หรือ Spider-Man แฟรงค์ แคสเซิล (Thomas Jane) คือเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนที่มีครอบครัวเล็กๆ น่ารักและชีวิตอันเป็นสุข แต่แล้วจากงานปฏิบัติการล่าสุดของเขาได้ทำให้ลูกชายคนเล็กของโฮเวิร์ด เซนต์ (John Travolta) เจ้าพ่อรายใหญ่ของเมืองต้องมาตายไป เซนต์เลยสั่งให้ลูกน้องเขาไปฆ่าล้างโคตรตระกูลแคสเซิลซะ และแฟรงค์ก็รอดมาได้ และเขาก็พร้อมที่จะเอาคืน
นี่ไม่ใช่การล้างแค้นครับ แต่มันคือการลงทัณฑ์! … อืมม์ … คือ ผมค่อนข้างชอบฉากและโทนของหนังครับ ภาพมันค่อนข้างสะอาดสะอ้าน ดูมีความคมๆ ชัดๆ ยังไงก็ไม่รู้ ทำให้อารมณ์หนังมันพอดีๆ ครับไม่หนักจนเกินไป ตรงนี้จัดว่าดีนะครับ เพราะตามจริงเนื้อหาของ The Punisher มันออกจะหนักกบาลไม่ใช่เล่น และหากหนังยังมาพร้อมบรรยากาศโทรมๆ แล้วล่ะก็ หนังคงดูหนักมากทีเดียว อย่างฉากบ้านของเซนต์ที่ผมว่ามันดูง่ายดีครับ ไม่ต้องมีเฟอร์นิเจอร์อะไรให้รกตา นั่นทำให้เราหันมาสนใจตัวละครมากขึ้นด้วย แต่… บทน่ะครับ บท บทมันไม่ใคร่จะข้นเท่าไหร่น่ะครับ ตอนแรกโอเค น่าติดตามครับ ตั้งแต่ตอนที่คนของเซนต์สั่งคนมาฆ่าครอบครัวแคสเซิล แล้วแฟรงค์ก็รอดไป ช่วงแรกจัดว่าดี แต่ความน่าสนใจมันเริ่มดร็อป (สำหรับผม) หลังจากที่แฟรงค์ประกาศตัวต่อหน้าประชาชีว่าพี่แกยังไม่ตาย และหมายจะล้างแค้นด้วย แต่ที่น่าหนักใจคือ แฟรงค์ได้วางแผนให้โฮเวิร์ดกับลูกน้องผิดใจกัน แล้วพี่โฮเวิร์ดแกก็ตกหลุมตามแผนดังพลั่ก ทั้งๆ ที่พี่ท่านก็รู้อยู่แล้วว่าแฟรงค์มันยังไม่ตาย
ผมก็ไม่เข้าใจว่าพี่โฮเวิร์ดแกไม่เอาสมองมาใช้เลยรึยังไงกัน คือ เจ้าพ่อระดับครองทั้งเมืองแบบนี้น่าจะเอะใจบ้างว่ามันต้องมีบางสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น เพราะจู่ๆ สถานการณ์รอบตัวมันก็ทะแม่งๆ ขึ้นมาซะอย่างงั้น – ทะแม่งหลังจากแฟรงค์ประกาศตัวอีกต่างหาก – แต่นี่พี่แกไม่คิดเลยครับ นั่งอารมณ์เสียหัวหมุนอย่างเดียว ตกหลุมครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วตอนท้ายยังมาโดนกำจัดแบบง่ายๆ อีก อันนี้ยอมรับว่าแอบเสียดายอยู่เหมือนกัน เพราะลองว่าผู้ร้ายไม่เก่งแล้ว ความสนุกมันก็ลดลงไปไม่ใช่น้อย Tom Jane จะว่าไปก็เหมาะกับบทดีครับ ส่วนพี่ Travolta ของผมนี่ พี่แกเท่ห์จริง แต่ไม่ฉลาดเลย คนละเรื่องกับสมัยที่เล่นเป็นตัวร้ายใน Swordfish เลยครับ เรื่องนั้นร้ายแบบมีสมองเยี่ยมจริงๆ แต่กับเรื่องนี้นี่… ไม่อยากนิยามว่าโง่ครับ แต่ก็ไม่รู้จะใช้คำไหนแทน
อีกอย่างที่ค่อนข้างประหลาดใจคือดนตรีของ Carlo Siliotto นั้นก็ค่อนข้างนิ่งครับ ไม่ค่อยเร้าใจ เร้าอารมณ์ หรือเร้าความตื่นเต้น จุดนี้ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไใช้บริการมืออาชีพอย่าง Randy Edelman (จาก Shanghai Knights) หรือเอาพี่ Marco Beltrami (จาก Hellboy) มาก็ได้ มันคงช่วยหนังได้มากเลยครับ ยิ่งฉากระเบิดช่วงท้ายเรื่องนั่น ถ้าดนตรีดันซะหน่อยล่ะก็ รับรองอารมณ์พุ่งสุดๆ องค์ประกอบรวมๆ ของหนังนี่ผมว่าโอเคนะ ยิ่งพวกโลเคชั่นและฉากต่างๆ ต้องเรียกว่าเฉียบเลยล่ะ ดาราก็เลือกมาได้ดี เพียงแต่การห้ำหั่นกันระหว่างพระเอกกับผู้ร้ายยังไม่เด็ดพอ ในแง่รายได้นั้นก็ถือว่ายังไม่เข้าเป้านักครับ ทำเงินไป $54 ล้านจากทั่วโลก แต่ลงทุนราว $33 ล้าน ก็ถือว่ายังไม่คุ้มทุน แต่ได้ข่าวว่าหนังมาได้รับการต้อนรับดีๆ อีกทีตอนออกแผ่น หนังเลยผ่านจุดคุ้มทุนและเข้าสู่โซนกำไรมาได้
TimLax
⭐ 6/10
หนังเรื่องนี้เข้าฉายแบบไม่ค่อยมีคนพูดถึงเท่าไหร่ มันไม่ใช่หนัง CGI ที่ทรงพลัง ไม่มีฉากต่อสู้แบบ Matrix/Kill Bill แต่สิ่งที่มันขาดหายไปในกระแสนิยมสมัยใหม่ มันก็ทดแทนได้ด้วยพล็อตแก้แค้นแบบเดิมๆ เรื่องราวที่น่าจะเหมาะกับหนังของ Clint Eastwood อย่าง Outlaw Josey Wales หรือ Hang ’em High The Punisher พาผู้ชมเดินทางสู่จิตวิญญาณของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ผู้โหดเหี้ยม Thomas Jane รับบทนำได้อย่างสมบูรณ์แบบ เสียงพากย์ของเขายอดเยี่ยมมาก ถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่ The Punisher ไร้อารมณ์แบบพ่อ (หรือของ Dolph) ก็ตาม เขาดูมีสติปัญญามากกว่าในสื่ออื่นๆ ที่เขาเคยแสดงออกมา ดูเป็นมนุษย์มากขึ้น แต่ก็ไม่ได้ดูเป็นมนุษย์มากขึ้น ด้วยสไตล์การต่อสู้ด้วยหมัดและเทคนิคพิเศษที่เป็นที่ยอมรับ หนังเรื่องนี้จึงทำให้ตัวละครยังคงฝังรากลึกอยู่ในบุคลิกที่ดูธรรมดาเกินไปของเขา ตัวละครสมทบก็เล่นได้สมบทบาทไม่แพ้กัน อย่างเช่น จอห์น ทราโวลตา ก็เล่นได้ดี ถึงแม้จะไม่ได้โดดเด่นอะไรนัก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าโทมัส เจน ทำได้ดีกว่าในเรื่องนี้ เขาเป็นแค่คนธรรมดาๆ ที่ทำเรื่องเหนือธรรมชาติ แถมยังมีเสียงปืนและเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวอีกต่างหาก ถ้าคุณอยู่ในกลุ่มเป้าหมาย (ชายอายุ 17-30 ปี) คุณจะสนุกกับหนังเรื่องนี้อย่างแน่นอน แต่ถ้าไม่ใช่ ก็ลองเสี่ยงดูเอง
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
หากคุณชื่นชอบหนังแนวล้างแค้นสุดดิบ เราขอแนะนำ:
- John Wick (2014): มาตรฐานใหม่ของหนังแอ็คชั่นล้างแค้นในยุคปัจจุบัน
- Man on Fire (2004): หนังล้างแค้นอีกเรื่องที่ออกฉายในปีเดียวกัน นำแสดงโดย เดนเซล วอชิงตัน ที่มีความดาร์กและดิบเถื่อนไม่แพ้กัน
- Death Wish (1974): ต้นตำรับหนัง “ศาลเตี้ย” ที่พระเอกต้องลุกขึ้นมาล้างแค้นให้ครอบครัว
- Punisher: War Zone (2008): เวอร์ชั่นรีบูตที่โหดและเลือดสาดกว่าเดิมไปอีกขั้น
คำถามที่พบบ่อย (Q&A)
Q: หนังเรื่องนี้เป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ของ Marvel หรือเปล่า?
A: ใช่และไม่ใช่ครับ เดอะ พันนิชเชอร์ เป็นตัวละครของมาร์เวล แต่หนังเรื่องนี้ ไม่ใช่ หนังซูเปอร์ฮีโร่ เขาไม่มีพลังพิเศษใดๆ ทั้งสิ้น เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาที่มีทักษะการต่อสู้และการวางแผนขั้นสูง หนังเรื่องนี้เป็นหนังแอ็คชั่น-อาชญากรรม เรท R และไม่ได้อยู่ในจักรวาล MCU
Q: ทำไมหนังเรื่องนี้ถึงได้รับคำวิจารณ์ไม่ดี แต่แฟนๆ ถึงชอบ?
A: นักวิจารณ์มองว่ามันเป็นหนังล้างแค้นที่ดำเนินเรื่องช้าและมีพล็อตที่ซ้ำซากจำเจ แต่แฟนๆ กลับชื่นชมการแสดงของ โธมัส เจน และมองว่าโทนที่จริงจังและมืดมนของหนัง คือการดัดแปลงจิตวิญญาณของคอมิกส์ออกมาได้อย่างซื่อตรงที่สุด
Q: ระหว่างเวอร์ชั่นนี้ (Thomas Jane) กับเวอร์ชั่นซีรีส์ Netflix (Jon Bernthal) อันไหนดีกว่ากัน?
A: คนส่วนใหญ่ยอมรับว่าเวอร์ชั่นซีรีส์ของ Netflix นั้นมีการสำรวจตัวละครที่ลึกซึ้งและสมจริงกว่า แต่เวอร์ชั่นปี 2004 ของโธมัส เจน ก็ยังคงเป็นที่รักของแฟนๆ จำนวนมากและมีเสน่ห์ในแบบฉบับคลาสสิกของตัวเองครับ
บทสรุป: The Punisher (2004) คือหนังแอ็คชั่นล้างแค้นสุดดิบที่ถูกประเมินค่าต่ำไป เป็นการดัดแปลงแอนตี้-ฮีโร่ที่มืดมนที่สุดของมาร์เวลออกมาได้อย่างซื่อตรง และเป็นการแสดงที่น่าจดจำของ โธมัส เจน หากคุณกำลังมองหาหนังแอ็คชั่นที่จริงจัง, หนักแน่น, และไม่ประนีประนอม นี่คือผลงานที่คุณไม่ควรพลาด