นักแสดงนำและผู้กำกับ
- เจสัน สเตแธม (Jason Statham) กลับมารับบท แฟรงค์ มาร์ติน ที่เท่และเก่งกว่าเดิม
- อเลสซานโดร กัสแมน (Alessandro Gassman) รับบทเป็น จานนี่
- เคท นอทา (Kate Nauta) ในบท โลล่า วายร้ายหญิงที่น่าจดจำ
- ผู้เขียนบท/อำนวยการสร้าง: ลุค เบซง (Luc Besson)
- ผู้กำกับ: หลุยส์ เลเทอร์เรียร์ (Louis Leterrier) (ผู้กำกับคนเดียวกับภาคแรก และต่อมาได้ไปกำกับ The Incredible Hulk และ Now You See Me)
โปสเตอร์หนัง



รีวิวและบทวิเคราะห์
The Transporter 2 คือภาคต่อที่เดินตามปรัชญา “ยิ่งใหญ่กว่าเดิม” ในทุกมิติ
- แอ็คชั่นที่หลุดโลก: จุดเด่นที่สุดและเป็นที่พูดถึงมากที่สุดคือ “ฉากแอ็คชั่น” ที่ “ไม่สนกฎฟิสิกส์” ใดๆ ทั้งสิ้น! หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยฉากสตันท์ที่เหลือเชื่อและสร้างสรรค์จนกลายเป็นตำนาน ไม่ว่าจะเป็นฉาก “ขับรถเหินฟ้าเพื่อขูดระเบิดใต้ท้องรถ” หรือฉาก “ใช้สายดับเพลิง” มาเป็นอาวุธฟาดฟันศัตรู!
- ความบันเทิงแบบนอนสต็อป: หนังมีความยาวเพียง 87 นาที และมันอัดแน่นไปด้วยฉากแอ็คชั่นแบบไม่มีหยุดพัก เป็นรถไฟเหาะที่ไม่มีเบรกอย่างแท้จริง
- เจสัน สเตแธม คือ แฟรงค์ มาร์ติน: เขาคือคนที่ใช่สำหรับบทนี้อย่างแท้จริง ความเท่, ความนิ่ง, และลีลาการต่อสู้ของเขาทำให้ฉากแอ็คชั่นที่ดูเหลือเชื่อ “น่าเชื่อ” ขึ้นมาได้
แม้พล็อตเรื่องจะเบาบางและขาดความสมจริงไปมาก แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น เพราะหนังเรื่องนี้สร้างมาเพื่อมอบ “ความมันส์” และ “ความบันเทิง” แบบสุดขั้ว ซึ่งมันก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ
- IMDb: ให้คะแนน 6.3/10
- Rotten Tomatoes: แม้นักวิจารณ์จะมองว่ามัน “ไร้สาระ” (52%) แต่แฟนๆ หนังแอ็คชั่นทั่วโลกต่างก็ชื่นชอบในความบ้าคลั่งและความสนุกของมัน
หมื่นทิพ
⭐ 5/10
ความรู้สึกของผมตอนได้ดูหนังเรื่องนี้ครั้งแรก มันประมาณเดียวกับคนที่เดินกลางทะเลทราย ไม่ได้กินน้ำมานานแล้วเจอโอเอซิสนั่นแหละครับ… ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงล่ะ ไม่ให้เป็นงั้นได้ไงครับ ก็ก่อนผมจะจัดเรื่องนี้ ผมดูหนังพี่ Steven Seagal (ยุคลงแผ่น) ตั้งสามเรื่องติด จะกระอักโลหิตอยู่แล้ว และก็ตัดสินใจเอาเรื่องนี้มาดูคั่น ตอนดูนี่ถอนหายใจเฮือกเลยครับว่า “เออ มันต้องอย่างนี้” เรื่องราวตอนต่อมาของนักส่งของที่โคตรเก่งมาดเนี๊ยบ นามว่าแฟรงค์ มาร์ติน (Jason Statham) ที่ตอนนี้กำลังมีภารกิจคอยปกป้องดูแล แจ๊ค บิลลิงส์ (Hunter Clary) ที่ตกเป็นเป้าหมายของวายร้ายอย่าง จีอานนี่ (Alessandro Gassman) ในการลักพาตัว ซึ่งแฟรงค์ก็ไม่ยอมง่ายๆ หรอกครับ เลยเตรียมระห่ำกับมันอย่างเต็มที่ แล้วยิ่งสืบไปก็ย่งพบว่าเจ้าจีอานนี่คนนี้ไม่ได้คิดจะทำการลักพาตัวธรรมดา มันยังมีแผนซ้อนอยู่อีกด้วย
แต่ว่า หมอนี่เล่นกะใครไม่เล่น มาเล่นกะแฟรงค์ มาร์ตินเนี่ยนะ… คิดผิดถนัดแล้ว ตัวหนังทำออกมาเอามันส์และเว่อร์กันแบบเต็มสูบครับ เหตุผลนี่บางทีก็ต้องลืมๆ ไปบ้าง อย่างฉากถอดระเบิดใต้รถแฟรงค์นั่น เว่อร์สุดขั้วจริงๆ หรืองาน CG ตอนฉากเครื่องบินท้ายเรื่องก็อาจดูไม่เนียนไปสักหน่อย แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกงาน Effect ลีลาภาพ การตัดต่อ และการเดินเรื่องจัดว่าเร้าใจเต็มขั้น ทำให้หนังน่าติดตามตลอดไม่มีเว้นช่วงเลยครับ จุดเด่นที่สุดของหนังเรื่องนี้อยู่ที่ลีลาเหลือร้ายของพี่ Jason ที่เหมาะกับบทนี้มากๆ และคาแรคเตอร์ที่แกได้นี่ก็เป็นเอกลักษณ์แบบสุดๆ ไม่ว่าจะมาดเท่ห์มาดเข้ม คำพูดคมๆ ที่เฉียบ สั้น และได้ใจความ ลีลาการเตะต่อยที่แม้จะไม่พริ้วขนาดดาราฮ่องกง แต่ก็ออกมาพอดี และเหนืออื่นใดก็คือชุดครับ ชุดสูทดำผูกเนคไท เป็นเครื่องแบบที่เนี๊ยบเหลือเกินจริงๆ
ผมว่าบทของแฟรงค์ถูกเขียนออกมาอย่างพอเหมาะครับ คนดูนี่พอดูไปจะรู้อุปนิสัยรู้อะไรครบ เหมือนได้ดูซูเปอร์ฮีโร่คนหนึ่งน่ะแหละ แม้รู้แหงๆ ว่าแกไม่ตาย แต่ก็รู้สึกได้ว่าเขามีเลือดเนื้อ มีพลาดพลั้งได้ ความลุ้นก็เลยมีได้แบบไม่ยากเย็น รวมไปถึงพี่แกยังมีกฎส่วนตัวอีก ฟังทีไรก็ฮา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเคร่งครัดกับกฎและคำสัญญาอย่างมาก แล้วยังทำทุกสิ่งอย่างเต็มที่ ลองว่าทำแล้วล่ะกัดไม่ปล่อย อีกทั้งยังยืนหยัดในความถูกต้อง ผมเลยพลอยเอาใจช่วยไปเลยครับ อย่างที่บอกไง ได้ใจผมมากนายแฟรงค์เนี่ย
ดาราทั้งหลายก็โอเคทุกราย Gassman ตัวร้ายของเรื่องก็มาในมาดนิ่งๆ แต่ก็ดูร้ายดี ตอนท้ายก็จัดหนักกับแฟรงค์กันไป ก็มันส์ดีครับ, Amber Valletta ในแสดงเป็นออเดรย์ บิลลิงส์ แม่ของแจ๊คที่ดูเหมือนจะห่วงใยแฟรงค์หน่อยๆ ด้วยเหมือนกัน, Matthew Modine พระเอกอินดี้ที่หลายคนน่าจะจำได้ตอนแสดงใน Cutthroat Island ก็มารับบทเป็นพ่อของแจ๊ค หน้าตาดูเปลี่ยนไปเยอะครับ ดูดีขึ้นนะ เหมาะกับบทเศรษฐีคนมีเงิน, Kate Nauta กับบทมือปืนสาวสุดเซ็กซี่ เจ๊แกก็ขโมยซีนไปได้เยอะครับ แต่ตอนตีกับแฟรงค์จริงๆ ในช่วงท้ายก็แพ้ง่ายไปหน่อย, Jason Flemyng มาเป็นดิมิทรี่ ตัวแสบที่โดนแฟรงค์ตามล่าทั่วเมือง พี่ท่านก็ถนัดอยู่ครับบทเสียจริตแบบเนี้ย
หนังมันมีช่องโหว่เยอะครับผมยอมรับเลย ไม่ว่าจะความเว่อร์หรืออะไร แต่ถ้าท่านทำใจรับได้ผมเชื่อว่าท่านน่าจะมันส์ไปกับหนังได้ไม่ยาก มีครบทั้งฉากยิงกัน แอ็คชั่นประชิดตัว พี่ Jason เองก็ผสมลีลาได้ดีนะครับ มีทั้งบู๊หักกระดูกแบบ Steven Seagal บวกกับลีลาพริ้วแบบแกร่งๆ ตามสไตล์ Jet Li พร้อมด้วยการหยิบเอาข้าวของรอบตัวมาใช้สู้สไตล์ เฉินหลง อีก ก็ไม่น่าแปลกนะครับ เพราะหยวนขุย (Corey Yuen) เขามาออกแบบท่าให้ (พร้อมเป็นผู้กำกับกองสองให้ด้วย) หลายอย่างเลยได้กลิ่นความเป็นฮ่องกง แต่ก็ต้องชมพี่ Jason ด้วยล่ะครับที่เล่นได้หมดทุกกระบวนท่า
ccthemovieman
⭐ 5/10
แม้จะมีความหวังสูง แต่กลับถูกมองข้ามไป เช่นเดียวกับภาคต่อของหนังแอ็คชั่นหลายๆ เรื่องในปัจจุบัน ผู้สร้างภาพยนตร์มักจะหยิบเอาสิ่งที่ประสบความสำเร็จมาเล่นซ้ำจนหมดในภาคสอง ซึ่งปกติแล้วความรุนแรงมักจะถูกเน้นย้ำมากเกินไป และภาคนี้เป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบ ภาคแรกอย่าง “The Transporter” ก็มีฉากแอ็คชั่นอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เกินเลย แถมยังสนุกสุดๆ ภาคต่อนี้กลับออกจะไร้สาระและดูถูกเหยียดหยาม สามส่วนแรกของหนังเรื่องนี้ยอดเยี่ยมมาก ส่วนสามส่วนที่สอง “พอใช้ได้” และสามส่วนสุดท้ายก็ไร้สาระจนฉันต้องคอยดูนาฬิกาเพื่อดูว่าเหลือเวลาอีกเท่าไหร่ แต่ส่วนหลังกลับหลุดมือไป มีฉากต่อสู้หรือฉากไล่ล่ารถแบบ “Kill Bill” เกิดขึ้นเรื่อยๆ แต่ละฉากดูไม่น่าเชื่อถือเท่าฉากก่อนหน้า ผู้สร้างภาพยนตร์เหล่านี้ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะพอ! อีกครั้งหนึ่ง พระเอกสุดหล่ออย่างเจสัน สตาร์แธม รับบท “แฟรงค์ มาร์ติน” อดีตเจ้าหน้าที่หน่วยรบพิเศษที่ตอนนี้กลายเป็น “ทรานสปอร์ตเตอร์” คุณมีตัวร้ายที่ดูดุร้ายอยู่บ้าง โดยเฉพาะใน “โลล่า” (เคท นอตา) ที่ต้องแข่งกับแทมมี่ เฟ เบเกอร์ ในแผนกแต่งหน้า (ยกเว้นว่าผู้หญิงคนนี้สวยเซ็กซี่) และคุณมีเรื่องราวที่น่าสนใจ ไม่มีอะไรที่ยับยั้งชั่งใจได้เลย น่าเสียดายเพราะหนังเรื่องนี้มีสไตล์มาก แถมยังดูมีอนาคตที่ดีในครึ่งชั่วโมงแรก
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
หากคุณชื่นชอบหนังแอ็คชั่นสุดเวอร์วังที่พระเอกเก่งเหนือมนุษย์ เราขอแนะนำ:
- The Transporter (2002): ภาคแรกที่เป็นจุดเริ่มต้นของตำนาน
- Crank (2006) คนคลั่ง..ขับ..ชน..: อีกหนึ่งหนังแอ็คชั่นสุดบ้าคลั่งของ เจสัน สเตแธม ที่มันส์แบบนอนสต็อป
- แฟรนไชส์ Fast & Furious : หากคุณชอบฉากแอ็คชั่นที่ไม่สนกฎฟิสิกส์ใดๆ
- Shoot ‘Em Up (2007): หนังอีกเรื่องที่เป็นเหมือนการ์ตูนแอ็คชั่นมีชีวิตและเต็มไปด้วยฉากยิงที่สร้างสรรค์
คำถามที่พบบ่อย (Q&A)
Q: ต้องดูภาคแรกก่อนไหม?
A: ไม่จำเป็น 100% ครับ เพราะเนื้อเรื่องในภาคนี้ค่อนข้างจบในตัวเอง แต่การดูภาคแรกมาก่อนจะช่วยให้คุณเข้าใจคาแรคเตอร์และ “กฎ 3 ข้อ” ของแฟรงค์ มาร์ติน ได้ดียิ่งขึ้น
Q: ฉากแอ็คชั่นในเรื่องนี้ ‘โม้’ ขนาดนั้นเลยเหรอ?
A: ใช่! และนั่นคือสิ่งที่ทำให้มันสนุก! หนังจงใจสร้างฉากแอ็คชั่นที่เวอร์วังและเหนือจริงด้วยความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ซึ่งกลายเป็นเสน่ห์และจุดขายที่สำคัญที่สุดของหนัง
Q: ภาคนี้กับภาคแรก อันไหนสนุกกว่ากัน?
A: ขึ้นอยู่กับความชอบเลยครับ! ภาคแรกจะเป็นหนังแอ็คชั่น-ทริลเลอร์ที่ “ดิบ” และ “สมจริง” กว่า ส่วนภาคสองนี้จะเป็น “บล็อกบัสเตอร์” ที่ยิ่งใหญ่, สนุกสนาน, และเบาสมองกว่าครับ
บทสรุป: The Transporter 2 คือหนังแอ็คชั่นภาคต่อที่ดัง, เร็ว, และบ้าคลั่งอย่างน่าพอใจ เป็นหนัง “ป๊อปคอร์น” ที่สมบูรณ์แบบสำหรับวันที่คุณอยากจะ “ปิดสวิตช์สมอง” แล้วปล่อยใจไปกับความมันส์ระห่ำ! เป็นการโชว์พลังซูเปอร์สตาร์ของ เจสัน สเตแธม ได้อย่างเต็มที่