ทำความรู้จักทีมงานและนักแสดง
ผู้กำกับ: โอลิเวอร์ สโตน (Oliver Stone)
นักแสดงนำ:
ไมเคิล ดักลาส (Michael Douglas) รับบท กอร์ดอน เก็คโค่
ชาร์ลี ชีน (Charlie Sheen) รับบท บัด ฟ็อกซ์
แดริล ฮันนาห์ (Daryl Hannah) รับบท แดเรียน เทย์เลอร์
มาร์ติน ชีน (Martin Sheen) รับบท คาร์ล ฟ็อกซ์ (พ่อของบัด)
เทเรนซ์ สแตมป์ (Terence Stamp) รับบท เซอร์ ลาร์รี่ ไวลด์แมน
อยากติดตามผลงานอื่นๆ ของพวกเขาไหม? ลองค้นหาบนเว็บ Movie24HD ของเราได้เลย!
โปสเตอร์หนัง
รีวิวภาพรวม: หนังดราม่า-อาชญากรรมที่คมคายและทรงพลัง
“Wall Street” คือภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมและทรงพลังอย่างยิ่งในการวิพากษ์วิจารณ์ “ระบบทุนนิยม” และ “ความโลภ” ที่ไร้ขีดจำกัดได้อย่างเจ็บแสบ ผู้กำกับ โอลิเวอร์ สโตน (ซึ่งพ่อของเขาเคยเป็นโบรกเกอร์จริงๆ) สามารถสร้างโลกของวอลล์สตรีทในยุค 80s ออกมาได้อย่างสมจริงและเต็มไปด้วยพลังงาน
หัวใจสำคัญที่ทำให้หนังเรื่องนี้เป็นอมตะคือการแสดงระดับ “ปีศาจ” ของ ไมเคิล ดักลาส ที่สามารถคว้ารางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมไปครองได้อย่างสมศักดิ์ศรี เขาได้สร้างตัวละคร “กอร์ดอน เก็คโค่” ที่ทั้งมีเสน่ห์, ฉลาด, และน่ารังเกียจในเวลาเดียวกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ จนกลายเป็นหนึ่งใน “วายร้าย” ที่น่าจดจำที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์
นี่คือหนังที่ไม่ได้ให้แค่ความบันเทิง แต่ยังมอบบทเรียนที่สำคัญเกี่ยวกับราคาที่ต้องจ่ายเพื่อความสำเร็จ และเป็นภาพยนตร์ที่ยังคง “ร่วมสมัย” อย่างน่าทึ่ง แม้จะผ่านมาแล้วเกือบ 40 ปี
รางวัลการันตีคุณภาพ:
ชนะเลิศ 1 รางวัลออสการ์: ในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (ไมเคิล ดักลาส)
ชนะเลิศ 1 รางวัลลูกโลกทองคำ: ในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (ไมเคิล ดักลาส)
คะแนนจากนักวิจารณ์:
IMDb: 7.3/10
Rotten Tomatoes: 78% (คะแนนจากฝั่งนักวิจารณ์)
หมื่นทิพ
ผู้ที่ชื่นชอบหนังแนวธุรกิจหรืออยากจะเห็นภาพของพวกนักธุรกิจชั้นสูงชาวอเมริกันแบบชัดๆ ล่ะก็ เรื่องนี้เหมาะเหม็งอย่างมากครับ บั๊ด ฟ็อกซ์ (Charlie Sheen) ชายหนุ่มผู้ต้องการจะมีชีวิตดีๆ ประสบความสำเร็จ และเป็นที่ยอมรับของสังคม (ซึ่งก็เหมือนหนุ่มไฟแรงทุกคนน่ะแหละ) เขาจึงได้ติดต่อกับ กอร์ดอน เก๊กโค่ (Michael Douglas – ซึ่งคว้าออสการ์ไปจากการแสดงที่สุดเฉียบคมนี้) นักธุรกิจพันล้านผู้ทำได้ทุกอย่างเพื่อความร่ำรวยของตน แล้วบั๊ดก็เริ่มเข้าสู่โลกของกอร์ดอน นั่นก็คือ การหลอกลวง การทุจริต และการทำสิ่งที่ผิดต่อกฎหมาย ทุกหนทางเพื่อเงินและอำนาจ แล้วบั๊ดจะจมดิ่งไปกันมันหรือไม่ โปรดติดตามครับ
กำกับโดย Oliver Stone ผู้ที่ชอบทำหนังชำแหละอเมริกันชนครับ แง่มุมต่างๆ ของความเป็นมะกันและประวัติศาสตร์การเมือง พี่แกโปรมากทีเดียวสำหรับแนวนี้ และเรื่องนี้ก็ตามนั้นครับ เรื่องของหนุ่มไฟแรงที่อยากจะมีอนาคตดีๆ แล้วในที่สุดก็เจอนักธุรกิจเก๋ามานำทางไปสู่ความสำเร็จ แต่ขณะเดียวกันมันก็เป็นทางที่ไม่สะอาดด้วย เฮ่อ มันก็แบบนี้ล่ะครับ ในโลกนี้เรื่องการโกงมันเกิดขึ้นอยุ่ทุกที่ทุกเวลาอยู่แล้ว เราก็ต้องระมัดระวังที่จะตกเป็นเหยื่อ และเราก็ต้องอย่าไปเป็นคนโกงซะเองล่ะ
Sheen ไปได้สวยครับกับบทบั๊ด เขาดูเป็นหนุ่มสมองไวและใฝ่หาความสำเร็จจริงๆ, Martin Sheen พ่อแท้ๆ ของเขาก็มาเล่นเป็นคาร์ล ฟ็อกซ์ พ่อของบั๊ด พ่อลูกมาเล่นเป็นพ่อลูกกันจริงๆ ครับ ซึ่งตอนแรก พี่ Oliver มีตัวเลือกบทคาร์ลนี่สองคนครับ คือ Jack Lemmon กับ Martin Sheen ต่อมาพี่แกก็ตัดสินใจให้ Charlie เป็นคนเลือก และเขาก็เลือกพ่อตัวเองมาเล่น ซึ่งผมถือว่าเป็นการเลือกที่ถูกต้องครับ เพราะบทนี้มันต้องอาศัยมากกว่าการแสดง มันต้องทำให้คนดูรู้สึกว่าพ่อลูกคู่นี้ผูกพันกันจริงๆ ถึงจะได้อารมณ์ และบทแบบนี้มันเหมาะกับ Martin มากกว่าครับ เพราะท่าทางของตัวละครคาร์ลนั้นมันต้องจริงจังและดูถ่อมตัว แต่ขณะเดียวกันก็ต้องมีลักษณะผู้นำอยู่ในตัว ซึ่งคุณลักษณะดังกล่าว ในตัว Martin จะมีเด่นชัดกว่าครับ
แต่คนที่ยอดเหนือยอด เยี่ยมเหนือเยี่ยมย่อมหนีไม่พ้น Michael Douglas กับบทที่นำเขาไปสู่รางวัลออสการ์ ซึ่งสมควรแล้วครับ ตอนแรกพี่เว่อร์แกจะให้ Richard Gere หรือไม่ก็ Warren Beatty มารับไป แต่ก็โชคดีเช่นกันที่ Douglas คว้าไปได้ เพราะถ้าพูดถึงความเลือดเย็นล่ะก็ ไม่มีใครแสดงได้ดีเกินเขาคนนี้ครับ เอาแค่แววตาแบบโกงๆ เนี่ย ต้อง Douglas ครับ พี่แกเหมือนกับอสรพิษที่พร้อมจะฉกเหยื่อทุกเวลา ในเรื่องพี่แกก็เล่นได้ร้ายแบบสุดๆ แต่ไม่ได้โอเวอร์จนเกินไป สมจริงดีแท้จนแทบจะเป็นภาพลักษณ์ติดตัวแกไปเลยครับพักนั้นน่ะ
สำหรับ คนที่อยากตะลุยโลกธุรกิจ หนังเรื่องนี้เหมาะทีเดียวครับ มันอาจจะไม่ได้เปิดเผยกลโกงอะไรมาก แต่มันก็ทำให้คุณรู้ได้ว่า โลกที่คุณกำลังจะไปข้องเกี่ยวนั้นมันไม่ได้มีแต่ด้านสว่างเท่านั้นดู แล้วก็น่ากลัวนะครับและน่าเสียดายไม่น้อย เพราะความจริงแล้วผมว่าไอ้ระบบเศรษฐกิจเนี่ยมันทำขึ้นเพื่อเอื้อความสะดวก ให้คนเราในการแลกเปลี่ยน แต่ไปๆ มาๆ คนเรานี่แหละที่เป็นผู้ทำให้ระบบกลายมาเป็นอาวุธแบบเนี้ย เนี่ยคับ สงครามในยุคนี้ไม่ต้องใช้ระเบิดหรืออะไรแล้ว แค่ทำลายระบบเศรษฐกิจของชาตินั้นๆ ให้ย่อยยับ ก็สร้างความรุนแรงได้ไม่แพ้ระเบิดนิวเคลียร์เลยทีเดียว จะมีอำนาจก็ ไม่ว่า จะหาเงินมากๆ ก็ไม่ว่า แต่ทำไมต้องหาทางโกงและทำลายกันด้วยล่ะครับ หาแบบดีๆ สุจริตและไม่ทำร้ายใครไม่ได้เหรอไงกันฮะ เฮ่อ อย่างที่ผมเคยบอกน่ะแหละ รวยแล้วไง ถ้าใจไม่รู้จักพอ มันก็ยังมองว่าตัวเองจนอยู่ดี แบบนี้ตายก็ไม่มีทางตาหลับหรอกครับ
AlsExGal
⭐ 6/10
“Wall Street” เป็นภาพยนตร์ที่ดูเหมือนจะก่อให้เกิดการถกเถียงกันอย่างมาก โดยพื้นฐานแล้ว มันคือการต่อสู้ทางศีลธรรมภายในตัวบัด ฟ็อกซ์ (ชาร์ลี ชีน) เทรดเดอร์วอลล์สตรีทหนุ่ม ระหว่างค่านิยมที่เขาเติบโตมากับการทำงานหนักและความสำเร็จผ่านการสร้างสรรค์ผลงาน กับค่านิยมของกอร์ดอน เกกโค (ไมเคิล ดักลาส) ที่ปรึกษาของเขา ซึ่งประสบความสำเร็จจากการถูกปล้นสะดมในองค์กรและ “การทำลายล้างอย่างสร้างสรรค์” จากมุมมองของบัด แผนที่นำทางสู่ความสำเร็จและความสุขของพ่อ (มาร์ติน ชีน) ดูล้าสมัยจนดูล้าสมัยเมื่อเทียบกับของเก็กโค จนกระทั่งเก็กโคตั้งเป้าและทำลายบริษัทของพ่อ บัดจึงถูกบังคับให้เลือก หลายคนเชื่อมโยงภาพยนตร์เรื่องนี้กับมุมมองธุรกิจแบบเสรีนิยมกับอนุรักษ์นิยม เศรษฐกิจแบบตะวันตกกับเศรษฐกิจแบบวางแผน และผลักไสภาพยนตร์เรื่องนี้ให้กลายเป็นภาพความทรงจำในยุค 80 เหมือนกับโทรศัพท์มือถือขนาดยักษ์ที่เก็กโคกำลังคุยอยู่ขณะเดินเล่นริมชายหาด
มีคนกล่าวว่าทั้งสองอย่างไม่ได้ผล และ เราค่อยๆ ปรับตัวเข้าหาสิ่งที่อยู่ตรงกลาง อย่างไรก็ตาม พวกเก็กโกในโลกนี้ฉลาดกว่านั้น และตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา พวกเขาได้สร้างระบบเศรษฐกิจที่เอื้อประโยชน์ให้กับพวกเขา สิ่งที่เรามีตอนนี้คือสถานการณ์ที่คนมีอันจะกินมีระบบที่วางแผนไว้ แทบจะเรียกว่าระบบโซเวียต ซึ่งกฎเกณฑ์แบ่งชนชั้นพวกเขาไว้ที่ระดับบนสุด ผมยกตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายล้มละลายเป็นหลักฐาน A อย่างไรก็ตาม สมาชิกของแรงงานที่ให้บริการพวกเขาอยู่ในระบบเศรษฐกิจแบบตะวันตกที่ครั้งหนึ่งเคยสนับสนุนให้ทุกคน บางคนจะก้าวขึ้นสู่ระดับบนสุดที่มีการแบ่งชนชั้นในสถานการณ์นี้ แต่คนส่วนใหญ่จะยังคงอยู่ที่ระดับล่างสุด และจะต่อสู้กันเองเพื่อหางานดีๆ ที่หายาก บริการด้านสุขภาพที่ดี การศึกษา ฯลฯ ดังนั้น สำหรับผมแล้ว วอลล์สตรีทเป็นเพียงบทเปิดของเรื่องราวเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของแรงผลักดันทางเศรษฐกิจและทัศนคติที่มีต่อพวกเขา ไม่ใช่ภาพสะท้อนของกระแสนิยมอายุ 25 ปีที่ผ่านไปแล้ว
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
หากคุณชื่นชอบภาพยนตร์ที่ตีแผ่โลกการเงิน เราขอแนะนำเรื่องเหล่านี้:
The Wolf of Wall Street (2013) คนจะรวย ช่วยไม่ได้ : เรื่องจริงสุดบ้าคลั่งของ จอร์แดน เบลฟอร์ต โบรกเกอร์ผู้สร้างอาณาจักรและปาร์ตี้สุดเหวี่ยงในวอลล์สตรีท
Boiler Room (2000) : การตีแผ่โลกของบริษัทโบรกเกอร์เถื่อนที่หลอกลวงนักลงทุน
The Big Short (2015) เกมฉวยโอกาสรวย : เรื่องจริงของกลุ่มคนที่มองเห็นวิกฤตเศรษฐกิจแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2008 ก่อนใคร
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Q: วลี “Greed, for lack of a better word, is good.” โด่งดังมากจริงหรือ?
A: จริงครับ! สุนทรพจน์ “Greed is good” ของกอร์ดอน เก็คโค่ ได้กลายเป็นหนึ่งในสุนทรพจน์ที่ “ไอคอนิก” และถูกอ้างอิงถึงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ และได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน 100 คำคมภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดโดยสถาบันภาพยนตร์อเมริกัน (AFI)
Q: หนังมีภาคต่อหรือไม่?
A: มีครับ! ภาคต่อในชื่อ “Wall Street: Money Never Sleeps” ออกฉายในปี 2010 โดยได้ผู้กำกับและนักแสดงนำชุดเดิมอย่าง โอลิเวอร์ สโตน, ไมเคิล ดักลาส, และ ชาร์ลี ชีน (ในบทรับเชิญ) กลับมาทั้งหมด
Q: หนังเหมาะกับคนที่ไม่รู้เรื่องหุ้นหรือไม่?
A: เหมาะอย่างยิ่งครับ! เพราะแก่นแท้ของหนังไม่ใช่เรื่องเทคนิคการเล่นหุ้นที่ซับซ้อน แต่เป็นเรื่อง “ดราม่าของมนุษย์” ที่ว่าด้วยความโลภ, ศีลธรรม, และความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์กับอาจารย์ ทำให้ทุกคนสามารถดูและอินไปกับเรื่องราวได้อย่างแน่นอน