ดูหนัง Boogeyman 2 (2007) บูกี้แมน ปลุกตำนานสัมผัสสยอง 2
ทุกท่าน! หลังจากที่ภาคแรก Boogeyman (2005) ได้สร้างความตกใจ (ด้วย Jump Scare) และความผิดหวัง (ด้วยบทภาพยนตร์) กันไปแล้ว ภาคต่อฉบับหนังแผ่น (Direct-to-Video) เรื่องนี้ก็ได้กลับมาพร้อมกับ “การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่”! ลืมความน่ากลัวแบบ PG-13 ไปได้เลย เพราะ Boogeyman 2 กระโดดเข้าสู่เรท R อย่างเต็มตัว และเปลี่ยนจากหนังผีเหนือธรรมชาติ มาเป็นหนังแนว “Slasher” (หนังไล่เชือด) ที่โหดและเลือดสาดกว่าเดิม!
เรื่องย่อ
เรื่องราวในภาคนี้ติดตาม ลอร่า พอร์เตอร์ หญิงสาวผู้มีบาดแผลทางจิตใจอย่างรุนแรงจากการเผชิญหน้ากับ “บูกี้แมน” ในวัยเด็ก (ซึ่งเชื่อมโยงกับตัวเอกในภาคแรก) เพื่อที่จะเอาชนะความกลัวที่ฝังลึกนี้ เธอตัดสินใจเข้ารับการบำบัดในสถาบันจิตเวชแห่งหนึ่ง ซึ่งดูแลโดย ดร.อัลเลน (โทบิน เบลล์ – จิ๊กซอว์ จาก Saw!)
แต่ดูเหมือนว่าการเผชิญหน้ากับความกลัวครั้งนี้ จะกลายเป็นการปลุกฝันร้ายให้กลับมาอีกครั้ง! เมื่อเหล่าผู้ป่วยในสถาบันเริ่มถูก “ฆาตกรรม” อย่างโหดเหี้ยมและสยดสยองทีละคน… ด้วยวิธีการที่ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับ “ความกลัว” ส่วนตัวของพวกเขา!
ลอร่าเริ่มไม่แน่ใจว่าสิ่งที่กำลังไล่ล่าพวกเขาอยู่นั้น คือ “บูกี้แมน” เหนือธรรมชาติที่เธอหวาดกลัวมาตลอดชีวิต… หรือเป็นเพียง “ฆาตกรโรคจิต” ที่สวมรอยเป็นตำนานผีในตู้กันแน่? เธอต้องหาคำตอบและเอาชีวิตรอดออกไปจากโรงพยาบาลนรกแห่งนี้ให้ได้ ก่อนที่เธอจะกลายเป็นเหยื่อรายต่อไป movie24hd
อ่านรีวิวก่อน ดูหนัง
นักแสดงนำและผู้กำกับ
- แดเนียลล์ ซาฟร์ (Danielle Savre) รับบทเป็น ลอร่า พอร์เตอร์
- แมตต์ โคเฮน (Matt Cohen) รับบทเป็น เฮนรี่ พอร์เตอร์
- โทบิน เบลล์ (Tobin Bell) ในบทบาท ดร.มิตเชลล์ อัลเลน
- ผู้กำกับ: เจฟฟ์ เบททานคอร์ท (Jeff Betancourt)
โปสเตอร์หนัง



รีวิวและบทวิเคราะห์
Boogeyman 2 คือภาคต่อที่พยายามจะ “แก้ตัว” จากความผิดหวังในภาคแรก… ด้วยการเปลี่ยนแนวไปเลย!
- โหดขึ้น เลือดสาดขึ้น: จุดที่แตกต่างและโดดเด่นที่สุดคือการที่หนัง “กล้า” ที่จะนำเสนอฉากการฆ่าที่ “โหด” และ “เลือดสาด” อย่างเต็มที่ สมกับเป็นหนังเรท R ซึ่งถูกใจคอหนังสยองขวัญสาย Gore อย่างแน่นอน
- พล็อตแนว Whodunit: การเปลี่ยนแนวมาเป็น Slasher ทำให้หนังมีพล็อตย่อยแบบ “ใครคือฆาตกร?” (Whodunit) เพิ่มเข้ามา ซึ่งช่วยสร้างความน่าติดตามได้ในระดับหนึ่ง แม้จะค่อนข้างคาดเดาได้ง่ายตามสไตล์หนังแนวนี้ก็ตาม
- ดีกว่าภาคแรก (สำหรับบางคน): แฟนหนังสยองขวัญหลายคนมองว่าภาคนี้ “ดีกว่า” ภาคแรก! เพราะอย่างน้อยมันก็ซื่อสัตย์ต่อแนวทาง Slasher และมอบความโหดเลือดสาดให้ตามที่คาดหวัง ต่างจากภาคแรกที่พยายามจะเป็นหนังผีบรรยากาศแต่ทำได้ไม่ถึง
อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่เป็นหนังแผ่น คุณภาพงานสร้างและบทภาพยนตร์โดยรวมก็ยังอยู่ในระดับมาตรฐาน ไม่ได้มีอะไรที่โดดเด่นหรือน่าจดจำมากนัก
- IMDb: ให้คะแนน 5.0/10
- Rotten Tomatoes: แม้จะมีรีวิวจากนักวิจารณ์น้อยมาก (0% จาก 6 รีวิว) แต่คะแนนจากฝั่งผู้ชม (Audience Score) อยู่ที่ 36% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ามีผู้ชมบางส่วนที่สนุกไปกับมัน
หมื่นทิพ
⭐ 5/10
ทิม (Barry Watson) เคยมีความทรงจำเลวร้ายสมัยเด็ก นั่นคือ เขาเห็นพ่อโดนบูกี้แมนกระชากตัวเข้าไปในตู้เสื้อผ้าอย่างสยดสยอง นั่นทำให้เขาไม่กล้าอยู่ในสถานที่ที่มีหลืบ มีความมืด หรือมุมหรือตู้อะไรทั้งนั้น แต่ทว่าเมื่อเขาโตขึ้น อดีตนั้นได้กลับมาหลอกหลอนเขาอีก… ใช่ครับ พอถึงจุดหนึ่งเขาเลยต้องลุยกับมันซักตั้งเพื่อทำให้ฝันร้ายมันจบลงซะที บูกี้แมนคือตำนานอย่างหนึ่งของคนอเมริกันครับ ส่วนมากเขาจะเล่าเอาไว้หลอกให้เด็กๆ กลัว มันคือปีศาจที่คอยซ่อนอยู่ในตู้เสื้อผ้าหรือใต้เตียง เรื่องนี้ก็ถือเป็น Urban Legend ที่ดังมากอีกเรื่องเลยล่ะครับ หนังส่วนมากก็ชอบพูดถึง หรือ พี่ Stephen King ก็เคยเอาไปผูกเป็นเรื่องสั้น
แต่กับหนังเรื่องนี้แล้ว ผลที่ได้กลับไม่ได้น่าพอใจอะไรครับ ถือว่าอยู่ในระดับธรรมดา เนื้อหาจะว่าไปมันก็ใกล้ๆ เคียงๆ กับ Darkness Falls น่ะครับ แต่ผมว่าเรื่องนั้นยังมันส์กว่าเลยนะครับ อย่างน้อยฤทธิ์เดชเดชาของปีศาจทู๊ทแฟรี่ในเรื่องนั้นยังยิ่งใหญ่และร้ายกาจกว่าพี่บูกี้ตั้งเยอะ จริงๆ ตัวหนังมันก็มีที่เข้าท่าบ้างในเรื่องของบรรยากาศครับ เพราะโลกในหนังมันดูเป็นโลกที่หม่นหมองและน่ากลัวแบบลึกๆ มีแต่หลืบมีแต่มุม เราไม่มีทางรู้เลยว่าจะมีตัวบ้าชนิดไหนปรากฎขึ้นมาบ้าง เพียงแต่ผู้กำกับ Stephen Kay เห็นทีจะยังมือไม่แม่นครับ เพราะแม้โทนของหนังมันจะไม่เลว แต่ความตื่นเต้นระทึกขวัญดันนิ่งราบ ดีไม่ดีจะมึนซะด้วย เพราะดูเหมือนเจ้าปีศาจบูกี้ตนนี้จะเน้นโจมตีที่จิตของเหยื่อมากกว่าจะมาแหวะ
สรุปแล้วหนังก็ไม่่ได้เฉียบเจ๋งอะไรหรอกครับผม ออกจะน่าผิดหวังด้วย การแสดงก็ไมไ่ด้น่าชื่นชมอะไร การเดินเรื่องก็แค่ค่อนข้างวกๆ วนๆ ไม่ได้ชวนตื่นเต้น มันชวนมึนมากกว่า จริงๆ ลีลามันคล้ายๆ กับงานของ พี่ Brian De Palma น่ะครับ ชอบล่อหลอกเล่นกับอารมณ์คนดู และเอาความคิดคนดูมาขยำไปมา แต่สำหรับพี่ Brian แล้ว ยังไงๆ ในบทสรุปพี่เขาก็ยังสามารถดึงคนดูให้กลับมาสู่โลกแห่งความจริงได้ และทุกปริศนาก็ต้องกระจ่างหมด แต่กับเรื่องนี้ มันขยำความคิดคนดูทั้งเรื่องก็จริง ดึงคนดูกลับมาก็จริง แต่เรื่องการเร้าอารมณ์นี่ต้องบอกว่านิ่งมากครับ ขยำให้มึนอย่างเดียว แต่ความตื่นเต้นไม่มี ความสยองน้อยจนแทบไม่เจอ ไม่ได้ชวนคล้อยตามแต่อย่างใด แต่หนังจัดว่าทำเงินไม่เลวครับ ทำไปราว $67 ล้านจากทั่วโลก ส่วนเงินลงทุนอยู่ที่ $20 ล้าน ก็ถือว่ากำไรใช้ได้ แล้วก็ส่งผลให้มีการทำภาคต่อตามออกมา
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
หากคุณชื่นชอบหนังแนว Slasher ที่มีฉากหลังเป็นโรงพยาบาล/สถาบันจิตเวช เราขอแนะนำ:
- Halloween II (1981): หนังไล่เชือดสุดคลาสสิกที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาล
- A Nightmare on Elm Street 3: Dream Warriors (1987): การต่อสู้กับเฟรดดี้ ครูเกอร์ ในสถาบันจิตเวช
- See No Evil (2006): หนัง Slasher อีกเรื่องจากค่าย WWE Films ที่มีความโหดเลือดสาด
คำถามที่พบบ่อย (Q&A)
Q: หนังเรื่องนี้น่ากลัวไหม?
A: เป็นความน่ากลัวในแบบ “โหด” และ “แหวะ” ครับ ไม่ใช่หนังผีที่เน้นบรรยากาศหลอนๆ แต่เน้นฉากการฆ่าที่เลือดสาดและรุนแรง ถ้าคุณชอบหนังแนว Slasher คุณจะสนุกกับความโหดของมัน
Q: ต้องดูภาคแรกก่อนไหม?
A: ไม่จำเป็นเลยครับ! นอกจากคอนเซปต์เรื่อง “บูกี้แมน” และการอ้างอิงถึงตัวละครภาคแรกเล็กน้อยแล้ว เนื้อเรื่องแทบจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย และโทนของหนังก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง สามารถดูภาคนี้ได้เลย
Q: จริงเหรอว่า ‘จิ๊กซอว์’ จาก Saw เล่นเรื่องนี้ด้วย?
A: ใช่! นักแสดง โทบิน เบลล์ มีบทบาทสมทบเป็นจิตแพทย์ในเรื่องนี้ ซึ่งเป็นเหมือน Easter Egg เล็กๆ สำหรับแฟนหนังสยองขวัญครับ
บทสรุป: Boogeyman 2 คือภาคต่อที่พยายามจะหาแนวทางของตัวเองด้วยการเปลี่ยนไปเป็นหนัง Slasher เลือดสาด ซึ่งอาจจะถูกใจคอหนังสายโหดมากกว่าภาคแรก แต่โดยรวมแล้วก็ยังเป็นหนังเกรดบีที่ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นนัก เหมาะสำหรับแฟนพันธุ์แท้ของแฟรนไชส์ หรือคนที่กำลังมองหาหนังเชือดเลือดสาดดูฆ่าเวลา