ดูหนัง Dr. Dolittle 3 (2006) ด็อกเตอร์ดูลิตเติ้ล 3
ทุกท่าน! หลังจากที่ เอ็ดดี้ เมอร์ฟี ได้สร้างเสียงหัวเราะถล่มทลายไปในสองภาคแรก แฟรนไชส์คุณหมอคุยกับสัตว์ก็ได้กลับมาอีกครั้ง แต่คราวนี้มาในรูปแบบหนังแผ่น (Direct-to-video) และส่งไม้ต่อให้ “ลูกสาว” มาเป็นตัวเอกแทน! วันนี้เราจะมา “ดูหนัง” และดูกันว่าเมื่อไร้เงาของเอ็ดดี้ เมอร์ฟีแล้ว แฟรนไชส์นี้จะยังคงความสนุกไว้ได้หรือไม่
เรื่องย่อ
เรื่องราวในภาคนี้โฟกัสไปที่ มายา ดูลิตเติ้ล (ไคล่า แพรตต์) ลูกสาวคนเล็กของ ดร.จอห์น ดูลิตเติ้ล ที่ตอนนี้โตเป็นสาววัยทีน และกำลังอึดอัดใจกับ “พรสวรรค์” ที่เธอได้รับสืบทอดมาจากพ่อ นั่นคือการพูดคุยกับสัตว์ได้! ความสามารถพิเศษนี้ทำให้เธอกลายเป็นตัวประหลาดในสายตาเพื่อนๆ และเธอก็อยากจะเป็นแค่เด็กสาวธรรมดาคนหนึ่ง
หลังจากที่มายาก่อเรื่องวุ่นวายเพราะพรสวรรค์ของเธออีกครั้ง แม่ของเธอจึงตัดสินใจส่งเธอไปใช้เวลาช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนที่ “ไร่ดูรังโก” เพื่อให้เธอได้ค้นพบตัวเองและเรียนรู้ที่จะรับผิดชอบ
ที่ไร่แห่งนี้ มายาพยายามอย่างยิ่งที่จะ “ปกปิด” ความสามารถของเธอเพื่อที่จะได้เข้ากับเพื่อนใหม่ๆ ได้ แต่แล้วเธอก็ได้ค้นพบว่าไร่ดูรังโกกำลังจะล้มละลายและถูกยึด! หนทางเดียวที่จะกอบกู้ไร่ไว้ได้คือการชนะการแข่งขันโรดีโอประจำปีเพื่อชิงเงินรางวัล
มายาจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจะต้องยอมรับในพรสวรรค์ของตัวเอง และใช้ความสามารถในการพูดคุยกับสัตว์เพื่อขอความช่วยเหลือจากเหล่าม้า, วัว, และสรรพสัตว์ในไร่ ให้มาร่วมมือกันฝึกซ้อมและลงแข่งขันเพื่อปกป้องบ้านหลังใหม่ของพวกเขา! movie24hd
อ่านรีวิวก่อน ดูหนัง
นักแสดงนำและผู้กำกับ
- ไคล่า แพรตต์ (Kyla Pratt) กลับมารับบทนำเป็น มายา ดูลิตเติ้ล
- คริสเตน วิลสัน (Kristen Wilson) กลับมารับบทเป็น ลิซ่า ดูลิตเติ้ล (คุณแม่)
- จอห์น เอมอส (John Amos) รับบทเป็น จัด โจนส์
- ผู้กำกับ: ริช ธอร์น (Rich Thorne)
โปสเตอร์หนัง



รีวิวและบทวิเคราะห์
Dr. Dolittle 3 คือการเปลี่ยนผ่านของแฟรนไชส์ไปสู่หนังสำหรับ “เด็กและครอบครัว” อย่างเต็มตัว
- การส่งไม้ต่อที่น่าสนใจ: การเปลี่ยนตัวเอกมาเป็นลูกสาววัยทีน ทำให้หนังมีมุมมองที่สดใหม่และเข้าถึงกลุ่มผู้ชมที่เด็กลงได้ดีขึ้น เป็นพล็อตแนว Coming-of-age ที่สอนให้เด็กๆ รู้จักยอมรับในความแตกต่างของตัวเอง
- ความบันเทิงแบบหนังแผ่น: ต้องยอมรับว่าด้วยการที่เป็นหนังแผ่น ทำให้ “สเกล” และ “งบประมาณ” ของหนังนั้นเล็กกว่าสองภาคแรกอย่างเห็นได้ชัด มุกตลกและคุณภาพโดยรวมอาจจะไม่เทียบเท่าเวอร์ชั่นของเอ็ดดี้ เมอร์ฟี แต่ก็ยังเป็นหนังที่ดูได้เพลินๆ
- ข้อคิดดีๆ สำหรับครอบครัว: หนังเต็มไปด้วยข้อคิดที่เข้าใจง่าย ทั้งเรื่องการยอมรับในตัวเอง, การทำงานเป็นทีม, และความกล้าหาญที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง
- IMDb: ให้คะแนน 4.1/10
- Rotten Tomatoes: แม้จะไม่มีคะแนนจากนักวิจารณ์อย่างเป็นทางการ แต่โดยทั่วไปแล้วหนังเรื่องนี้ถูกมองว่าเป็นภาคต่อที่ด้อยกว่าสองภาคแรกอย่างชัดเจน แต่ก็ยังเป็นที่ชื่นชอบในหมู่ผู้ชมที่เป็นเด็กๆ
obm4
⭐ 6/10
หนังก็โอเคนะ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนถึงให้คะแนนสูงขนาดนั้น? บางทีพวกเขาอาจจะทำงานให้บริษัท ฮ่าๆ ไม่คิดเลยว่ามันจะเหมือน 2 ภาคแรกด้วยซ้ำ หวังว่าหลานๆ ผมจะชอบนะ ภรรยาผมเลิกดูไปแล้ว ผมอยากดูต่อแต่ก็อยากเห็นตอนจบ มีมุกตลกๆ บ้าง แต่เสียดายที่อ่านรีวิวก่อน ไม่เข้าใจว่าทำไมบริษัทหนังถึงสร้างภาคต่อได้ยากจัง หรือแค่ทำทุนต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ พวกเขาไม่อยากให้คุณละเมิดลิขสิทธิ์หนัง แต่พวกเขาสนใจไหมว่าคุณจะจ่ายเงินแพงๆ เพื่อหนังห่วยๆ? ผมไม่ได้สงสารสตูดิโอไหนเลย ผมเข้าใจเลยว่าทำไมเมอร์ฟี่ถึงไม่ได้แสดงในเรื่องนี้ พอแล้วกับบทพูดที่น้อยเกินไป แกรี่
Smells_Like_Cheese
⭐ 2/10
ฉันอยากดูภาคต่อของ Dr. Dolittle ให้จบ และฉันก็สนใจที่จะดูว่าพวกเขาจะดำเนินเรื่องต่อกับ Mya Dolittle อย่างไร แต่หนังเรื่องนี้กลับกลายเป็นหนังตลกเด็กก่อนวัยรุ่นทั่วๆ ไปที่ไม่สมจริงเอาเสียเลย ขาดความคิดริเริ่มหรือความน่าสนใจ แม้ว่าจะตั้งใจสร้างมาเพื่อผู้ชมเฉพาะกลุ่มก็ตาม มันดูถูกสติปัญญาของมนุษย์ทุกคน ฉันหมายถึง เราควรจะเชื่อกันไหมว่าทุกคนรู้วิธีเต้นรำในงานปาร์ตี้โดยธรรมชาติ? หรือว่า Mya ร้องเพลงได้ไพเราะ เต้นได้อย่างยอดเยี่ยม และสมบูรณ์แบบแต่ไม่เป็นที่นิยม?
ตอนนี้ Mya ถูกมองว่าเป็นตัวประหลาดที่โรงเรียน เพราะเธอสามารถพูดคุยกับสัตว์ได้ แต่เมื่อแม่ของเธอรู้ตัวว่ายังต้องค้นหาตัวเอง เธอจึงส่ง Mya ไปที่ฟาร์มปศุสัตว์ ซึ่ง Mya เปลี่ยนชื่อเพื่อเปลี่ยนลุคและบุคลิก แต่สุดท้ายเธอก็ตกหลุมรักลูกชายเจ้าของฟาร์ม และพวกเขาก็ต้องเผชิญกับฟาร์มที่เต็มไปด้วยคนหัวสูงอีกแห่ง เจ้าของฟาร์มกำลังจะเสียฟาร์มไป และ Mya ตัดสินใจรวมทีมเพื่อชิงเงินรางวัลเพื่อรักษาฟาร์มไว้ เอาล่ะ คุณคงเห็นแล้วว่าเรื่องราวจะดำเนินไปยังไง และมันก็เป็นเรื่องราวทั่วๆ ไป ผมผิดหวังกับหนังเรื่องนี้มาก และคงไม่แนะนำหนังเรื่องนี้ให้ใครดู แม้แต่กับเด็กก่อนวัยรุ่น สำหรับผม ผมว่าหนังเรื่องนี้ดูถูกสติปัญญาของพวกเขา มันเป็นแค่หนังประเภทหนึ่ง เชื่อผมเถอะ รอดูเอ็ดดี้ เมอร์ฟี่ต่อไป เขาเป็นมืออาชีพจริงๆ
toolsquatch
⭐ 2/10
แม่ผมเอาหนังเรื่องนี้ไปเช่าไว้ แล้วผมก็หาข้อมูลดูระหว่างที่หนังกำลังติดอันดับต้นๆ ของลิสต์ ผมเจอ Red Flags ใน IMDb ซึ่งเป็นคำย่อที่แปลว่า “สิ่งที่บ่งบอกว่าหนังที่กำลังจะดูจะเป็นประสบการณ์ที่เจ็บปวด ซึ่งคุณอาจจะต้องปิดมันเพื่อระงับความเจ็บปวด” อย่างแรกเลย ไม่มี Eddie Murphy ลองคิดดูสิทุกคน: ภาคต่อของหนังที่ตัวละครหลักไม่ได้ปรากฏตัวด้วยซ้ำ ถ้าหนังเรื่องนี้ชื่อ Dr. Dolittle 3 ผมว่าคุณคงคาดหวังว่า Dr. Dolittle จะต้องมาปรากฏตัวในรูปแบบไหนสักอย่าง พูดง่ายๆ คือ ถ้าพวกเขาอยากจะเสียเงินซื้อหนังที่ไม่ควรได้รับการอนุมัติ แต่เป็นเพราะสตูดิโอเชื่อว่าจะหาผลประโยชน์จากแฟรนไชส์แทนที่จะปล่อยหนังคุณภาพ พวกเขาก็น่าจะเปลี่ยนชื่อหนังเรื่องนี้ Red Flag ที่สอง
นักวิจารณ์หลายคนเรียกมันว่า “หนังครอบครัว” ขอโทษทุกคน แต่ถ้าคุณเรียกมันว่า “หนังครอบครัว” มันมักจะเป็นคำสุภาพที่หมายถึง “หนังขยะไร้สาระที่คุณหวังว่าจะให้ลูกๆ ของคุณเพลิดเพลินได้ 2 ชั่วโมง ขณะที่คุณอธิษฐานขอพระเจ้าให้หนังจบ” ธงแดง #3 ความจริงที่ว่าหนังเรื่องนี้ออกฉายตรง ๆ เป็นสัญญาณสำคัญของความธรรมดา/ความผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด: พูดตรง ๆ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมบริษัทผู้สร้างถึงปล่อยโปรเจกต์ที่ออกฉายตรง ๆ ออกมา พวกเขาอาจจะถอดปลั๊กโปรเจกต์นั้นแล้วขอเงินคืนก็ได้ เหมือนกับผู้ชมที่ผิดหวังที่รู้สึกเหมือนถูกบริษัทภาพยนตร์หลอก ธงแดงที่ 4 มาถึงตอนที่หนังเข้าฉาย และเราก็ฝืนใจดูมัน 10 นาทีต่อมา หนังก็ถูกปิด: ไม่มีใครนั่งดูจนจบเพราะมันแย่มาก และคุณรู้สึกถึงความล้มเหลวทางการเงินที่เต้นระรัวไปทุกเฟรม พูดง่าย ๆ คือ คุณกำลังได้รับคำวิจารณ์หนังที่น่าเบื่อ เพราะผมไม่ได้ดูจนจบด้วยซ้ำ และผมค่อนข้างมั่นใจว่าคุณเข้าใจเหตุผล
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
หากคุณชื่นชอบหนังครอบครัวที่ว่าด้วยเด็กและสัตว์ เราขอแนะนำ:
- Doctor Dolittle (1998) & Dr. Dolittle 2 (2001): สองภาคแรกที่เป็นต้นตำรับและสนุกกว่า
- Racing Stripes (2005) ม้าลายหัวใจเร็วจี๊ดด…: หนังอีกเรื่องที่ว่าด้วยสัตว์นอกคอกที่พยายามจะพิสูจน์ตัวเองในสนามแข่งขัน
- Charlotte’s Web (2006) แมงมุมเพื่อนรัก: หนังครอบครัวชั้นเยี่ยมอีกเรื่องที่ว่าด้วยมิตรภาพของเหล่าสัตว์ในฟาร์ม
คำถามที่พบบ่อย (Q&A)
Q: เอ็ดดี้ เมอร์ฟี อยู่ในภาคนี้ไหม?
A: ไม่อยู่! นี่คือภาคแรกของแฟรนไชส์นี้ที่ไม่มี เอ็ดดี้ เมอร์ฟี แสดงนำ ทำให้โทนของหนังเปลี่ยนไปเป็นหนังเด็กอย่างเต็มตัว
Q: หนังเรื่องนี้เป็นหนังโรงหรือหนังแผ่น?
A: เป็นหนังที่สร้างเพื่อจำหน่ายในรูปแบบวิดีโอ/ดีวีดีโดยตรง (Direct-to-Video) ครับ คุณภาพงานสร้างและสเกลของหนังจึงเล็กกว่าสองภาคแรกที่เข้าฉายในโรงภาพยนตร์
Q: หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร?
A: เหมาะที่สุดสำหรับผู้ชมที่เป็น “เด็กเล็ก” และ “ครอบครัว” ครับ เป็นหนังที่ดูง่าย, ไม่มีพิษมีภัย, และให้ข้อคิดที่ดี แต่สำหรับผู้ใหญ่ที่คาดหวังความฮาในระดับเดียวกับเอ็ดดี้ เมอร์ฟี อาจจะต้องผิดหวัง
บทสรุป: Dr. Dolittle 3 คือภาคต่อที่เปลี่ยนแนวทางมาเอาใจผู้ชมที่เด็กลงอย่างชัดเจน เป็นหนังครอบครัวที่ดูได้เพลินๆ และมีข้อคิดที่ดี แม้จะขาดเสน่ห์และความยิ่งใหญ่ของสองภาคแรกไปมาก แต่สำหรับแฟนๆ ที่อยากจะติดตามเรื่องราวของตระกูลดูลิตเติ้ลต่อไป… ภาคนี้ก็ยังมอบความน่ารักในแบบของมันเอง