นักแสดงนำและผู้กำกับ
- เบ็น สติลเลอร์ (Ben Stiller) กลับมารับบท เกร็ก ฟอคเกอร์ ผู้รับบทเป็นกระโถนท้องพระโรง
- โรเบิร์ต เดอ นีโร (Robert De Niro) กลับมารับบท แจ็ค เบิร์นส์ พ่อตาสุดโหด
- ดัสติน ฮอฟฟ์แมน (Dustin Hoffman) และ บาร์บรา สไตรแซนด์ (Barbra Streisand) ในบทพ่อแม่ฟอคเกอร์: นี่คือการแคสติ้งที่อัจฉริยะที่สุด! การได้เห็นสองนักแสดงระดับตำนานรางวัลออสการ์มาปล่อยของในบทบาทสุดเพี้ยน คือความสุขของคนดูอย่างแท้จริง
- ผู้กำกับ: เจย์ โรช (Jay Roach) ผู้กำกับคนเดิมจากภาคแรก
โปสเตอร์หนัง



รีวิวและบทวิเคราะห์
Meet the Fockers คือภาคต่อที่เดินตามสูตรสำเร็จ “ยิ่งใหญ่กว่าเดิม” และมันก็ทำได้สำเร็จ
- การปะทะกันของสองขั้ว: หัวใจของความตลกในภาคนี้คือ “Culture Clash” หรือการปะทะกันทางวัฒนธรรมและไลฟ์สไตล์ของสองครอบครัวที่แตกต่างกันสุดขั้ว ซึ่งสร้างสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจและตลกขบขันได้ตลอดเวลา
- การเพิ่มนักแสดงระดับตำนาน: การนำ ดัสติน ฮอฟฟ์แมน และ บาร์บรา สไตรแซนด์ เข้ามาคือการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุด พวกเขามอบพลังงานใหม่ๆ และสร้างเสียงหัวเราะได้อย่างมหาศาล
- ความฮาที่จัดเต็มกว่าเดิม: แม้ภาคนี้อาจจะขาดความสดใหม่และความตึงเครียดแบบภาคแรกไปบ้าง แต่มันก็ทดแทนด้วยมุกตลกที่ “ใหญ่ขึ้น” และ “บ้าขึ้น” ซึ่งถูกใจผู้ชมในวงกว้าง
หนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จใน Box Office ยิ่งกว่าภาคแรกหลายเท่าตัว และกลายเป็นหนึ่งในหนังคอเมดี้ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาล ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าผู้ชมรักในการได้เห็นความวายป่วงของสองครอบครัวนี้
- IMDb: ให้คะแนน 6.3/10
- Rotten Tomatoes: ได้รับคะแนนจากฝั่งนักวิจารณ์เพียง 39% แต่สวนทางกับความสำเร็จด้านรายได้และความนิยมจากผู้ชมอย่างสิ้นเชิง
lavatch
⭐ 7/10
ผมชอบภาคต่อเรื่อง “Meet the Fockers” มากกว่า “Meet the Parents” ภาคแรกด้วยเหตุผลเดียวคือการแสดงของดัสติน ฮอฟฟ์แมน โดยรวมแล้ว หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่นักแสดงเล่นได้ดีมาก และบทหนังก็ถ่ายทอดมุกตลกและสถานการณ์ต่างๆ รอบตัวแจ็ค เบิร์นส์ อดีตเจ้าหน้าที่ซีไอเอผู้เปี่ยมไปด้วยพลังและผู้นำครอบครัวได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ตัวละครเบอร์นี ฟอกเกอร์ ของฮอฟฟ์แมน ทนายความที่เกษียณตัวเองมาเป็นพ่อเต็มตัวให้กับเกร็ก เบิร์นส์ ลูกชายของเขา (เบน สติลเลอร์) กลับทำให้หนังตลกเรื่องนี้มีคุณค่าทางจิตใจที่หนักแน่น ซึ่งยกระดับหนังให้เหนือชั้นกว่าหนังตลกบ้าๆ บอๆ ผมชื่นชมที่ตัวละครของฮอฟฟ์แมนเผยให้เห็นความเจ็บปวดอย่างแท้จริงหลังจากคำพูดที่หยาบคายของแจ็ค เบิร์นส์ ยกตัวอย่างเช่น อนุสรณ์สถานแห่งความทรงจำที่ใส่กรอบเกี่ยวกับความสำเร็จของลูกชายถูกแจ็คเยาะเย้ย เราสามารถเข้าใจความเจ็บปวดของเบอร์นีได้ ซึ่งเขารู้สึกได้จากคำวิจารณ์ ตลอดทั้งเรื่อง ฉากที่น่าจดจำที่สุดคือฉากที่ตัวละครของฮอฟฟ์แมนเป็นฝ่ายรับ แต่ก็เป็นฉากที่แจ็คเป็นฝ่ายรุกด้วย ภาพยนตร์ยังมีฉากตลกสุดฮาอีกหลายฉาก เช่น ฉากวัยรุ่นที่เกิดนอกสมรสกับพี่เลี้ยงของเกร็ก เด็กหนุ่มคิ้วหนาเตอะที่เหมือนกับตัวละครของเบน สติลเลอร์ และฉากรถบ้านสุดอลังการของแจ็คที่ติดตั้งอุปกรณ์ดักฟัง ซึ่งทำให้แจ็คมีศูนย์บัญชาการในการสอดแนมครอบครัวฟ็อกเกอร์ส ต้องยกความดีความชอบให้กับผู้กำกับเจย์ โรช สำหรับจังหวะ จังหวะ และจังหวะของเรื่องตลกที่ยอดเยี่ยม ท้ายที่สุดแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้สนุกอย่างเหลือเชื่อ ซึ่งสร้างความประหลาดใจ
highclark
⭐ 7/10
ด้วยเสน่ห์ของภาคก่อน ทำให้ภาคต่อนี้แทบไม่มีจุดเด่นด้านมุกตลกที่แหวกแนวเลย ไม่มีใครคาดหวังว่าภาคต่อของ Meet the Parents จะเป็น ‘หนังจบแล้วจบเล่า’ หรือหนังที่จะมาปลุกเร้าอารมณ์ผู้ชมด้วยมุกตลกแบบ ‘เกินเส้น’ เลยสักนิด เปล่าเลย หนังเรื่องนี้เป็นแค่ภาคต่อที่คาดเดาได้ง่ายและไว้ใจได้เท่านั้น ภาคต่อนี้ทำให้เรานึกถึงฉากความอับอายขายหน้าแบบ Ben Stiller ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพิ่มความตลกขบขันเข้าไปอีก ผู้อำนวยการสร้างและ/หรือผู้กำกับ (หรือคนโง่คนไหนก็ตามที่รับผิดชอบ) ตัดสินใจใส่พล็อตย่อยของ ‘อัจฉริยะเด็ก’ เข้าไปทุก 7 นาทีของหนัง ราวกับว่ายังไม่พอ เราทุกคนควรจะดีใจไปกับโชว์สุนัขและแมวที่เกิดขึ้นใน ‘บ้านเคลื่อนที่’ ของ DeNiro ความจริงที่ว่ามุกตลกไล่ล่าหมาแมวเรื่องนี้มีที่มาจากสัตว์ตัวหนึ่งที่ตกลงไปในห้องน้ำ ดูเหมือนจะเป็นตำแหน่งที่เหมาะสม อยู่ในระดับที่เหมาะสม ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ หนังเรื่องนี้ดูเข้ากับบรรยากาศที่สุด
เด็กทารกที่ฉลาดกว่าผู้ใหญ่ แมวที่ฉลาดกว่าหมา หนังเรื่องนี้จะประสบความสำเร็จได้อย่างไรกัน? คงไม่ประสบความสำเร็จหรอก อย่างไรก็ตาม ฉันต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าหนังเรื่องนี้ดี การแสดงของบาร์บาร่า สไตรแซนด์และดัสติน ฮอฟฟ์แมนนั้นยอดเยี่ยม ฉันประหลาดใจที่ได้เห็นบาร์บาร่า สไตรแซนด์กลับมาเล่นแนวตลกอีกครั้ง เธอควรจะเล่นหนังตลก/มิวสิคัลมาหลายปีแล้ว…เอ่อ…หลายสิบปี หนังตลกเหมาะกับเธอจริงๆ ทั้งการแสดงของเธอและของฮอฟฟ์แมนนั้นยอดเยี่ยมอย่างน่าประหลาดใจ ไม่ได้จะตัดทอนอะไรจากเดอ นีโร ซึ่งก็น่ารักดีเหมือนกัน แต่ฉันสนใจเรื่องความตลกแบบ ‘เพี้ยนๆ’ ระหว่างสไตรแซนด์กับฮอฟฟ์แมนมากกว่า ประเด็นคือ หนังเรื่องนี้สนุกดี แต่ผมกลอกตาไปมาจนคิดว่าหนังตลกเรื่องนี้เยี่ยมยอดไปเลย มันเป็นหนังตลกที่เน้นตัวเลขเป็นหลัก ถ้าคุณไม่รังเกียจหนังตลกที่เล่นได้ระดับเดียวกับหนังในห้าง ที่เห็นมุกตลกโผล่มา ก็ลองดูในดีวีดีดู ผมให้หนังเรื่องนี้ 5/10 คะแนน แต่ Streisand กับ Hoffman ก็ถือว่าเซอร์ไพรส์พอสมควร ผมไม่ได้เกลียดหนังเรื่องนี้นะ แค่ไม่ชอบเท่าไหร่
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
หากคุณชื่นชอบหนังตลกครอบครัวสุดป่วน เราขอแนะนำ:
- Meet the Parents (2000): ภาคแรกที่เป็นจุดเริ่มต้นของความฮาทั้งหมด
- Little Fockers (2010): ภาคที่ 3 ของไตรภาคนี้
- The Birdcage (1996): หนังคลาสสิกอีกเรื่องที่ว่าด้วยความวายป่วงเมื่อสองครอบครัวสุดแตกต่างต้องมาเจอกัน
คำถามที่พบบ่อย (Q&A)
Q: ต้องดูภาคแรก (Meet the Parents) ก่อนไหม?
A: จำเป็นอย่างยิ่งครับ! เพราะความฮาและเรื่องราวทั้งหมดของภาคนี้สร้างอยู่บนพื้นฐานความสัมพันธ์และประวัติศาสตร์ระหว่างตัวละครเกร็กกับแจ็คจากภาคแรก ถ้าไม่ได้ดูภาคแรกมาก่อน คุณจะพลาดมุกตลกสำคัญๆ ไปเยอะมาก
Q: สนุกเท่าภาคแรกไหม?
A: คนส่วนใหญ่รู้สึกว่าภาคแรกเป็นหนังที่ “ฉลาด” และ “ลงตัว” กว่า แต่หลายคนก็รู้สึกว่าภาคนี้ “ตลก” กว่า เพราะการเพิ่มตัวละครพ่อแม่ของเกร็กเข้ามาสร้างความฮาได้มากขึ้นครับ
Q: การได้ ดัสติน ฮอฟฟ์แมน กับ บาร์บรา สไตรแซนด์ มาเล่นด้วยกันดีแค่ไหน?
A: ยอดเยี่ยมมากครับ! พวกเขาดูสนุกกับการแสดงบทบาทสุดเพี้ยนเหล่านี้ และเคมีของทั้งสองคนก็เข้ากันได้อย่างน่ารักน่าเอ็นดู เป็นส่วนที่ดีที่สุดของหนังภาคนี้เลยก็ว่าได้
บทสรุป: Meet the Fockers คือภาคต่อที่ดังกว่า, วุ่นวายกว่า, และฮากระจายกว่าภาคแรก เป็นการรวมพลนักแสดงระดับตำนานที่มอบความบันเทิงได้อย่างคุ้มค่า แม้อาจจะไม่สดใหม่เท่าต้นฉบับ แต่ถ้าคุณกำลังมองหาหนังที่จะทำให้คุณหัวเราะจนเหนื่อย นี่คือหนังที่คุณไม่ควรพลาด