นักแสดงนำและผู้กำกับ
- เฉินหลง (Jackie Chan) รับบทเป็น สารวัตรเฉิน กั๊วะหยง: นี่คือการแสดงที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของเขา! เฉินหลงได้แสดงให้เห็นถึงมิติทางอารมณ์ที่ลึกซึ้ง, ความเจ็บปวด, และความเปราะบางของตัวละครได้อย่างน่าทึ่ง
- เซียะถิงฟง (Nicholas Tse) รับบทเป็น เจิ้น เสี่ยวฟง
- แดเนียล วู (Daniel Wu) รับบทเป็น โจ: สุดยอดวายร้ายที่ทั้งหล่อ, ฉลาด, และจิตได้อย่างสมบูรณ์แบบ เป็นหนึ่งในคู่ต่อกรที่ดีที่สุดของเฉินหลง
- หยางไฉ่หนี (Charlie Yeung) และ ไช่จั๋วเหยียน (Charlene Choi) ร่วมแสดง
- ผู้กำกับ: เบนนี่ ชาน (Benny Chan) ผู้กำกับคู่บุญของเฉินหลงจาก Who Am I? และเป็นปรมาจารย์แห่งหนังแอ็คชั่นฮ่องกง
โปสเตอร์หนัง



รีวิวและบทวิเคราะห์
New Police Story คือการยกเครื่องแฟรนไชส์ที่ “กล้าหาญ” และ “ประสบความสำเร็จ” อย่างงดงาม
- โทนเรื่องที่ดาร์กและจริงจัง: นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุด หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยความสูญเสียและดราม่าที่หนักหน่วง ซึ่งแตกต่างจากหนัง Police Story ภาคก่อนๆ โดยสิ้นเชิง และมันก็ได้ผลอย่างยอดเยี่ยม
- การแสดงที่ลึกซึ้งของเฉินหลง: การได้เห็นเฉินหลงร้องไห้และแสดงความอ่อนแอ คือสิ่งที่แฟนๆ ไม่เคยเห็นมาก่อน และมันทำให้ตัวละครของเขามีความเป็นมนุษย์และน่าเอาใจช่วยอย่างยิ่ง
- ฉากสตันท์ที่ยังคงสุดยอด: แม้หนังจะเน้นดราม่า แต่ก็ยังไม่ทิ้งลายเซ็นของเฉินหลง! ฉากแอ็คชั่นและสตันท์เสี่ยงตายในเรื่องนี้ยังคงน่าทึ่งและยิ่งใหญ่เหมือนเดิม โดยเฉพาะฉาก “รถบัสสองชั้น” ที่ไถลลงมาจากเนินเขา คือหนึ่งในฉากที่อันตรายและน่าจดจำที่สุด
- IMDb: ให้คะแนนสูงถึง 7.0/10
- Rotten Tomatoes: ได้รับคะแนนจากฝั่งนักวิจารณ์ถึง 73% New Police Story 5 ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่านี่คือหนังแอ็คชั่น-ดราม่าคุณภาพที่ได้รับการยอมรับ
หมื่นทิพ
⭐ 5/10
เฮียเฉินหลงกลับมาอีกครั้งในหนังวิ่งสู้ฟัดโดยที่คราวนี้เป็นเรื่องราวใหม่ครับ กล่าวคือตัวเอกไม่ใช่เฉินกูกู๋อีกต่อไป (แต่ก็ยังแซ่เฉินอยู่) แต่ก็ยังว่าด้วยภารกิจเสี่ยงตายจับผู้ร้ายของนายตำรวจอยู่เหมือนเดิม เรื่องเริ่มต้นเมื่อเกิดคดีปล้นธนาคารสะเทือนเกาะฮ่องกงขึ้น และผู้กองเฉินกั๊วะหยง (เฉินหลง) ก็ได้รับมอบหมายให้ตามจับผู้ร้ายมาลงโทษ เขากับพี่น้องผองตำรวจก็สืบหาร่องรอยและตามพวกมันไปถึงแหล่งกบดาน แต่ที่พวกเขาไม่รู้เลยก็คือโจรกลุ่มนี้ได้วางแผนล่อพวกเขามาติดกับดักมรณะ และเหตุการณ์ครั้งนั้นก็กลายเป็นฝันร้ายที่ผู้กองเฉินไม่สามารถสลัดออกไปจากความทรงจำได้
หนึ่งปีต่อมา ผู้กองเฉินที่จมอยู่กับความเศร้าก็ได้แต่เมาไปวันๆ งานการไม่เป็นอันทำ จนกระทั่งมีเจ้าหนุ่มนามว่าเจิ้งเสี่ยงฟง (Nicholas Tse) โผล่เข้ามาในชีวิตเขาและพยายามจะผลักดันให้ผู้กองเฉินกลับไปสืบคดีโจรปล้นธนาคารอีกครั้ง ว่าแต่หนนี้พวกเขาจะไขคดีได้สำเร็จไหม และพวกโจรกลุ่มนี้จะมีแผนร้ายอะไรรอรับมือเหล่าตำรวจอยู่อีก ก็ต้องติดตามกันในหนังครับ ถือเป็นภาคที่ทำได้เข้มข้นและน่าติดตามมากอีกภาคหนึ่งครับ โดยส่วนตัวแล้วชอบภาคนี้รองจาก 2 ภาคแรกเลย อย่างแรกที่ชอบก็เพราะหนังเปิดเรื่องได้โหดพอสมควร โดยเฉพาะสิ่งที่ผู้กองเฉินต้องประสบในโกดังนั่น ถือว่าโหดร้ายและแรงจนไม่แปลกใจที่เขาจะไม่เป็นผู้เป็นคนหลังเจอเรื่องนั้นเข้าไป และยังเป็นการเปิดตัวแก๊งผู้ร้ายได้อย่างน่าจดจำ
ครึ่งแรกออกจะเน้นไปทางดราม่า ก็ถือว่าทำได้โอเคครับ ได้อารมณ์ดราม่าอยู่พอตัว ส่วนครึ่งหลังก็เป็นการสืบ ตามล่าผู้ร้าย และบู๊แอ็กชันเสี่ยงตายตามสไตล์เฮียเฉิน ซึ่งครึ่งหลังนี่ก็สนุกไม่น้อยเหมือนกัน เริ่มจากฉากบู๊ทั้งหลายถือว่าทำออกมาได้มันส์ หรือจะฉากถล่มข้าวของก็จัดว่าลงทุนเล่นใหญ่ไม่ผิดหวังสำหรับคอหนังเฮียเฉิน สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกคือหนังมีความเป็นสูตรสำเร็จมากกว่าภาคอื่นๆ คือเปิดมาก็แนะนำฮีโร่ แนะนำผู้ร้าย เปิดปมแค้นระหว่างพวกเขา แล้วฮีโร่ก็ตกต่ำ จากนั้นก็จะมีอะไรสักอย่างมาทำให้ฮีโร่ลุกขึ้นอีกครั้ง และพอถึงตอนหลังการไล่ล่าต่อสู้ก็จะไต่ระดับความมันส์ขึ้นไปเรื่อยๆ บอสก็มีทั้งบอสหลักบอสรอง คือมันดูเป็นสูตรแบบค่อนข้างชัดน่ะครับ แต่ก็ไม่ใช่จะไม่ดีนะครับ เพราะอย่างที่ผมชอบบอกเสมอว่าแม้หนังจะลงสูตร แต่หากปรุงออกมาอร่อยพอเหมาะ แม้อะไรๆ มันจะเดิมๆ แต่ก็ยังตอบโจทย์ความสนุกได้อยู่ดี
ภาคนี้กำกับโดย เฉินมู่เซิ่ง (Benny Chan) ผู้ล่วงลับครับ สำหรับผมแล้วเรื่องนี้ถือเป็นหนังที่ทำได้ดีเป็นอันดับต้นๆ ของเขาเลย เพราะหนังสามารถผสมดราม่ากับแอ็กชันเข้าด้วยกันได้แบบพอดี หนังมีความเครียดในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้หนักอึ้งจนเกินไป แล้วยังมีวาระที่ชวนให้ซึ้งใจ ชวนให้สะเทือนใจแทรกอยู่แบบพอให้ออกรสด้วย เรียกว่าหนังจัดว่าครบรสอยู่เหมือนกันครับ
ส่วนในแง่แอ็กชันก็ให้เฮียเฉินจัดไป แม้ภาคนี้เขาจะไม่ได้บู๊กระหน่ำแบบภาคก่อนๆ ส่วนหนึ่งก็คงเพราะอายุน่ะครับ แต่การที่พี่แกกล้าเล่นฉากไต่ตึกหรือฉากห้อยต่องแต่งตอนท้ายนั่นก็ต้องนับถือใจเขาแล้วล่ะ ไม่แน่จริงเล่นไม่ได้หรอกครับ อะไรแบบนี้นี่ต้องนับถือเขาจริงๆ และบทเฮียเฉินในเรื่องนี้จะออกแนวซีเรียส (เพราะเขาเจอเรื่องที่เลวร้ายมากๆ มา) เขาเลยจะแตกต่างจากเฉินกูกู๋ที่ดูอารมณ์ดีและมีอารมณ์ขัน ซึ่งเฮียเฉินก็เล่นได้ดีครับ และคงเพราะคนทำรู้ว่าบทเฮียเฉินจะซีเรียส ก็เลยต้องเสริมอารมณ์ขันลงไป ซึ่งหนังก็ให้เป็นหน้าที่ของ เซี๋ยะถิงฟง (Nicholas Tse) และเขาก็ทำหน้าที่ได้น่าพอใจครับ
ในเรื่องยังมีหยางไฉ่หนี (Charlie Yeung) ในบทเข่ออี้ คนรักของผู้กองเฉินที่บทอาจไม่มาก แต่ก็ถือว่าน่าจดจำครับ ความอ่อนโยนน่ารักของเธอนี่ทำให้ดูแล้วเชื่อเลยว่าเธอห่วงผู้กองเฉินจริงๆ ซึ่งจริงๆ เธอตัดสินใจอำลาวงการไปตั้งแต่ปี 1997 แล้วนะครับ แต่เธอก็ยอมกลับมาเพื่อเล่นบทนี้ (แล้วก็กลายเป็นว่าติดใจ เพราะทุกวันนี้เธอก็ยังเล่นหนังอยู่), Daniel Wu ในบทกวนจู หัวหน้าแก๊งคนร้าย รายนี้ก็เล่นบทร้ายได้ดีครับ ขณะเดียวกันก็เป็นตัวร้ายที่มีปมที่น่าสงสารด้วย ส่วน Charlene Choi ก็ออกแนวฮาครับ มาช่วยเสริมความฮาคู่กับเซี๊ยะถิงฟง
hellbent
⭐ 6/10
เมื่อเทียบกับผลงานในอเมริกาของเขาแล้ว หนังจีนเรื่องไหนๆ ของเขาก็ยังเหนือกว่าหนังอเมริกันเรื่องใหม่ๆ ของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย และเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ถึงแม้แจ็กกี้ ชานจะอายุมากขึ้น แต่มันก็ไม่ได้หยุดเขาจากการสร้างหนังที่ดี (หรือแย่) เลย และมันก็ไม่ได้หยุดนักแสดงอเมริกันหลายคนแน่นอน ถ้าผมขยับตัวได้เหมือนแจ็กกี้ ชานตอนอายุเท่าเขา ผมก็จะดีใจมาก (โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้ผมยังขยับตัวไม่ได้เลย) หนังดำเนินเรื่องด้วยจังหวะที่คงที่ บางช่วงก็ดูเกินจริงและซาบซึ้งเกินไป แต่ก็มีฉากผาดโผนและฉากแอ็คชั่นที่น่าตื่นตาตื่นใจ ผมโพสต์รีวิวนี้เพื่อเป็นการโต้แย้งความคิดเห็นของผู้ใช้ก่อนหน้าเป็นหลัก ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคนที่ไม่ชอบหนังของแจ็กกี้ ชานถึงเขียนรีวิว (แบบลำเอียง) ผมไม่ได้เขียนรีวิวหนังที่ผมเกลียด และผมไม่ได้ดูหนังที่มีนักแสดง/ตัวละครที่ผมไม่ชอบ ดังนั้นผมจึงสงสัยว่าทำไมเขาถึงทำแบบนั้น
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
หากคุณชื่นชอบหนังตำรวจ-แอ็คชั่นสุดเข้มข้น เราขอแนะนำ:
- Police Story (1985): ภาคแรกสุดคลาสสิก เพื่อให้เห็นถึงความแตกต่างของโทนเรื่อง
- Infernal Affairs (2002) สองคนสองคม: อีกหนึ่งมาสเตอร์พีซของหนังตำรวจฮ่องกงในยุคเดียวกัน
- The Foreigner (2017): ผลงานยุคหลังของเฉินหลง ที่เขากลับมารับบทบาทดราม่า-ล้างแค้นที่จริงจังอีกครั้ง
คำถามที่พบบ่อย (Q&A)
Q: หนังเรื่องนี้เป็น ‘วิ่งสู้ฟัด 5’ จริงๆ เหรอ? ต่อจากภาค 4 หรือเปล่า?
A: แม้ในไทยจะใช้ชื่อว่า “วิ่งสู้ฟัด 5” แต่จริงๆ แล้วเป็นหนัง “รีบูต” ครับ เนื้อเรื่องและตัวละครเป็นของใหม่ทั้งหมด ไม่ได้เชื่อมต่อกับ Police Story 4 ภาคแรกเลย สามารถดูเรื่องนี้ได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องดูภาคเก่าๆ มาก่อน
Q: หนังเรื่องนี้ตลกเหมือนวิ่งสู้ฟัดภาคเก่าๆ ไหม?
A: ไม่ตลกเลยครับ! นี่คือหนัง “แอ็คชั่น-ดราม่า” ที่จริงจังและเข้มข้นมาก แม้จะมีจังหวะเบาๆ บ้าง แต่โดยรวมแล้วไม่ใช่หนังคอเมดี้แบบที่แฟนๆ คุ้นเคยแน่นอน
Q: ฉากสตันท์ยังสุดยอดเหมือนเดิมไหม?
A: สุดยอดเหมือนเดิมครับ! แม้โทนเรื่องจะจริงจังขึ้น แต่ฉากสตันท์เสี่ยงตายยังคงเป็นลายเซ็นที่ขาดไม่ได้ของเฉินหลง ฉากรถบัสและฉากต่อสู้บนหลังคาศูนย์ประชุมคือไฮไลท์ที่น่าทึ่งมาก
บทสรุป: New Police Story คือการกลับมาที่ทรงพลังและน่าประทับใจที่สุดครั้งหนึ่งของเฉินหลง เป็นการพิสูจน์ให้โลกเห็นว่าเขาไม่ได้เป็นแค่ดาวตลกนักบู๊ แต่ยังเป็นนักแสดงดราม่าที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย หากคุณเป็นแฟนของเฉินหลงหรือชื่นชอบหนังแอ็คชั่น-ดราม่าที่เข้มข้น… นี่คือผลงานที่คุณห้ามพลาด!