นักแสดงนำและผู้กำกับ
แจ็คกี้ เอิร์ล เฮลีย์ (Jackie Earle Haley) รับบทเป็น รอร์ชาร์ค: การแสดงระดับ “ตำนาน” ที่ขโมยหนังทั้งเรื่อง!
แพทริก วิลสัน (Patrick Wilson) รับบทเป็น แดน ไดรเบิร์ก / ไนท์ อาวล์ ที่ 2
มาลิน เอเคอร์แมน (Malin Åkerman) รับบทเป็น ลอรี่ จูปิเตอร์ / ซิลค์ สเปคเตอร์ ที่ 2
บิลลี่ ครูดัพ (Billy Crudup) รับบทเป็น ดร.จอน ออสเทอร์แมน / ดร.แมนฮัตตัน
แมทธิว กู๊ด (Matthew Goode) รับบทเป็น เอเดรียน ไวดท์ / โอซิแมนเดียส
เจฟฟรีย์ ดีน มอร์แกน (Jeffrey Dean Morgan) รับบทเป็น เอ็ดเวิร์ด เบลค / เดอะ คอเมเดี้ยน
ผู้กำกับ: แซ็ค สไนเดอร์ (Zack Snyder) ผู้กำกับผู้มีลายเซ็นด้านภาพสุดจัดจ้านจาก 300 ซึ่งเขาได้นำความสามารถนั้นมา “ปลุกชีวิต” ให้กับภาพจากคอมิกต้นฉบับได้อย่างน่าทึ่ง!
โปสเตอร์หนัง
รีวิวและบทวิเคราะห์
Watchmen คือภาพยนตร์ที่ “ทะเยอทะยาน” อย่างยิ่งยวด และเป็น “งานศิลปะ” อย่างแท้จริง
งานภาพระดับ ‘เทพ’: จุดแข็งที่สุดที่ไม่มีใครปฏิเสธได้คือ “งานภาพ” ที่ “ซื่อตรง” ต่อคอมิกต้นฉบับแบบช่องต่อช่อง! แซ็ค สไนเดอร์ ได้สร้างโลกที่มืดหม่นและมีสไตล์ขึ้นมาได้อย่างน่าทึ่ง ทุกเฟรมคือภาพวาดที่เคลื่อนไหวได้
หนังฮีโร่ที่ ‘ดาร์ก’, ‘ซับซ้อน’, และ ‘สำหรับผู้ใหญ่’: นี่ไม่ใช่หนังฮีโร่ที่คุณจะพาลูกไปดู หนังเต็มไปด้วยความรุนแรงระดับสุดขั้ว, ประเด็นทางเพศ, และเนื้อหาเชิงปรัชญาและการเมืองที่หนักอึ้ง มันคือการ “สลาย” ภาพลักษณ์ฮีโร่ในอุดมคติอย่างสิ้นเชิง
ตัวละครที่น่าจดจำ: แม้จะมีตัวละครมากมาย แต่ “รอร์ชาร์ค” คือตัวละครที่โดดเด่นและเป็นที่รัก (หรือเกลียด) มากที่สุด เขาคือสัญลักษณ์ของความซับซ้อนทางศีลธรรมที่เป็นหัวใจของเรื่อง
Director’s Cut / Ultimate Cut คือที่สุด: เช่นเดียวกับหนังของสไนเดอร์หลายๆ เรื่อง เวอร์ชั่น Director’s Cut (ยาว 3 ชั่วโมง 6 นาที) และ Ultimate Cut (ยาว 3 ชั่วโมง 35 นาที ซึ่งรวมเอาการ์ตูน Tales of the Black Freighter เข้าไปด้วย) คือเวอร์ชั่นที่ “สมบูรณ์” และ “ยอดเยี่ยม” ที่สุดอย่างแท้จริง!
IMDb: ให้คะแนนสูงถึง 7.6/10
Rotten Tomatoes: ได้รับคะแนนจากฝั่งนักวิจารณ์ถึง 65% (Certified Fresh) ซึ่งเป็นคะแนนที่เสียงแตก แต่ได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่แฟนคอมิกและคอหนังที่ชื่นชอบความท้าทาย
หมื่นทิพ
⭐ 6/10
ก่อนพบกับรีวิวยาวๆ ตามแบบฉบับ เรามาเจอะเจอรีวิวสั้นๆ กันหน่อยดีไหมครับ เพื่อประหยัดเวลาสำหรับคนที่อยากบริโภครีวิวแบบ Fast Read อ่านปุ๊บตัดสินใจปั๊บได้เลยว่าจะดูไม่ดู ก็ขอเข้าเรื่องแบบตรงประเด็นเลยนะครับ
1. หนังเรื่องนี้ได้เรต R ครับ เพราะมีความรุนแรงในระดับที่มาก ฉากการต่อสู้ก็โหดไม่ใช่น้อย เช่น อัดกันแขนหัก (แบบเห็นกระดูกหักออกมานอกเนื้อ), เห็นเลือดกระจัดกระจายเปรอะจอ ตามด้วยอวัยวะขาดแบบจะๆ (ดูแล้วคุณจะนึกถึง Saw) และอื่นๆ อีกหลายฉาก (บอกมากเดี๋ยวสปอยล์) เอาเป็นว่าแรงมากครับ นอกจากนี้ยังมีฉากเลิฟซีนเร่าร้อนแบบเห็นหมดอีกต่างหาก ดังนั้นหากจะนำพาเด็กและเยาวชนไปดูก็โปรดพิจารณาด้วยนะครับ มันไม่ใช่หนังฮีโร่ไร้มลพิษแบบ Spider-Man หรือ X-Men เข้าใจตามนี้ด้วยนะครับ
2. นี่ไม่ใช่หนังแบบ Spider-Man หรือหนัง “แอ็คชันฮีโร่” ทั่วๆ ไป ที่เปิดตัวพระเอกแล้วก็เจอตัวร้ายประจำภาค ก่อนจะตีกันในช่วงไคลแม็กซ์ มันไม่ใช่เลยครับ
แต่หนังจะออกแนว “ดราม่าฮีโร่” นั่นคือหนังจะเทน้ำหนักไปที่การเล่าเรื่องปูมหลังของฮีโร่แต่ละคน (อันเป็นเหตุผลให้หนังยาวถึง 163 นาที) เล่าแรงจูงใจ เล่าปมชีวิต ขณะเดียวกันก็ผสมสไตล์หนังสืบสวนลงไปด้วย เพราะพอเปิดเรื่องมาหนังก็เล่าให้ผู้ชมได้รู้ว่ามีฮีโร่คนหนึ่งถูกสังหาร ซึ่งประเด็นหลักๆ ในเรื่องก็คือการไขปริศนาว่าการตายของฮีโร่รายนี้มีเบื้องหลังหรือไม่ ดังนั้นโดยสรุป หนังจะสลับอารมณ์ระหว่างดราม่าแบบหม่นๆ และโหดๆ ของฮีโร่ กับ การสืบสวนเป็นหลักนะครับ
3. ถ้าคุณคาดหวังฉากบู๊มันส์ๆ ขอบอกเลยว่ามี แต่เป็นบู๊แบบขายสไตล์ ออกลีลา มุมกล้องเท่ห์ๆ และไม่ได้มีเยอะแยะนัก แต่ผมถือว่ามันเข้าข่าย น้อยแต่แน่น… แน่นมาก เท่ห์ตัวพ่อครับ
4. โดยส่วนตัวผมเห็นด้วยกับคำโปรยบนใบปิดที่ว่า “From the Visionary Director of 300” เพราะลีลาหนังที่ออกมานั้นมันเต็มไปด้วยมุมมอง แง่คิด วิสัยทัศน์ ปรัชญา การวิพากษ์สังคม มันจึงเป็นหนังที่อาจจะไม่บันเทิงเต็มร้อย แต่เป็นงานโชว์พาวทางความคิดที่ดีมากชิ้นหนึ่ง
เพราะภาพที่คุณเห็นสื่ออะไรที่หลากหลาย คำพูดตัวละครก็สื่ออะไรที่หลากหลาย ปูมหลังตัวละครก็สื่ออะไรที่หลากหลาย ไม่ใช่หนังที่ทำออกมาเพื่อผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ดูแล้วยอมรับว่าทีมงาน พิถีพิถันจริงๆ
ถ้าเปรียบเป็นนามธรรม Watchmen ไม่ใช่แค่เอาฉากมาต่อฉาก แต่เป็นการเอา “หนามเตย” มาร้อยเรียงเข้าด้วยกัน…
5. เนื่องด้วยเนื้อหาเกี่ยวข้องกับยุคสงครามเย็นที่อเมริกากับสหภาพโซเวียต (หรือรัสเซีย) ดังนั้นหากคุณพอจะมีพื้นเข้าใจถึงไอระอุทางการเมืองของยุคดังกล่าว ก็จะทำให้ซึมซับรสชาติของหนังได้มากขึ้น
6. จุดเด่นที่ผมประทับใจคือบทเพลงเก่าๆ ระดับคลาสสิก ที่นำมาประกอบกันในหนัง มันเข้ากับภาพอย่างยอดเยี่ยมครับ ทำเอาผมนั่งเก้าอี้ฟังเพลงจนจบ End Credits ไปเลย เพลงเยี่ยมจริงๆ
7. โดยสรุปนะครับ สำหรับผมแล้ว เป็นหนังฮีโร่ขายสไตล์ที่สนุก อร่อย และสดใหม่มากเรื่องหนึ่ง เป็นหนังฮีโร่ที่ดูแล้วเป็นอะไรมากกว่าแค่หนังฮีโร่ปราบผู้ร้ายทั่วๆ ไป แต่มันคือหนังศิลป์ มันคือหนังดราม่าที่สามารถสะกิดความคิดเราให้เกิดต่อยอดได้ เป็นหนังฮีโร่ที่ดูแล้ว “อิ่ม” สมบูรณ์ในตัวมันเอง ถ้าให้จำกัดความ ผมว่าหนังมันผสมเอา The Dark Knight เข้ากับหนังชวนรักษ์โลกแบบ The Day the Earth Stood Still
แต่ต้องเช็คตัวเองก่อนนะครับว่าชอบสไตล์นี้หรือไม่ หากอยากดูหนังสบายๆ ไม่ต้องหนักหัว ไม่โหดมาก หนังเรื่องนี้อาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนักนะครับ แต่ถ้าชอบสไตล์เข้มๆ สดๆ มีอะไรมากกว่าความบันเทิงล่ะก็ (หรือถ้าคุณชอบ The Dark Knight ล่ะก็) เรื่องนี้จัดว่าไม่ควรพลาดครับ เอาล่ะ ด้านบนคือสรุปแบบรวบยอดสั้นๆ นะครับ อ่านแล้วตัดสินใจได้เลยว่าจะดูหรือไม่ ถ้าถามผม ผมเชียรให้ไปดู แต่บอกก่อนว่าหนังหนักครับ เป็นฮีโร่ที่ไม่ใช่ฮีโร่ทั่วๆ ไป อีกทั้งเหล่าฮีโร่ในเรื่องก็ไม่ใช่คนดีเต็มร้อยด้วย แต่พวกเขาเป็น “คนที่อยากเปลี่ยนโลก” กลุ่มหนึ่งเท่านั้นเอง ซึ่งแนวทางการเปลี่ยนโลกของพวกเขา บางอย่างก็ผิด บางอย่างก็ถูก บางอย่างก็เบาเกินไป และบางอย่างก็สุดโต่ง… เขาจะเป็นฮีโร่หรือไม่ จริงๆ อยู่ที่มุมมองของคุณเองมากกว่าครับ ถ้าอยากเดินเข้าไปพิสูจน์… เชิญครับ ผมชวนเลยนะ หนังน่าลองมาก ถ้าอ่านคร่าวๆ แล้วโอเค ผมเชียร์ครับ จบรีวิวสั้นเพียงเท่านี้ ไว้ผมจะเอารีวิวยาวๆ ออกมาอีกสักอัน ส่วนจะให้กี่ดาว อดใจรอหน่อยแล้วกัน
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
หากคุณหลงใหลในหนังฮีโร่สายดาร์กและซับซ้อน เราขอแนะนำ:
The Dark Knight (2008) แบทแมน อัศวินรัตติกาล : มาสเตอร์พีซอีกเรื่องที่ยกระดับความสมจริงและดาร์กให้กับหนังฮีโร่
V for Vendetta (2005) เพชรฆาตหน้ากากพญายม : หนังอีกเรื่องที่ดัดแปลงจากคอมิกของ อลัน มัวร์ และเต็มไปด้วยประเด็นการเมือง
Sin City (2005) ซิน ซิตี้ เมืองคนตายยาก : หากคุณชื่นชอบสไตล์ภาพขาว-ดำสุดจัดจ้านที่ถอดมาจากคอมิก
Blade Runner (1982) : หากคุณชอบหนังไซไฟ-นัวร์ที่มีบรรยากาศหม่นหมองและตั้งคำถามเชิงปรัชญา
คำถามที่พบบ่อย (Q&A)
Q: ต้องอ่านคอมิกมาก่อนไหม?
A: ไม่จำเป็น แต่ “แนะนำอย่างยิ่ง” เพราะคอมิกต้นฉบับนั้นซับซ้อนและเต็มไปด้วยรายละเอียด การได้อ่านมาก่อนจะทำให้คุณเข้าใจโลก, ตัวละคร, และประเด็นต่างๆ ได้ลึกซึ้งขึ้นมาก แต่ถึงไม่อ่าน หนังก็ยังเล่าเรื่องได้น่าติดตามในตัวของมันเอง
Q: หนังเรื่องนี้โหดและรุนแรงแค่ไหน?
A: รุนแรงมากครับ! เป็นหนังเรท R ที่มีความรุนแรงทั้งทางร่างกายและจิตใจ, มีฉากทางเพศ, และเนื้อหาที่มืดมน เหมาะสำหรับผู้ชมที่เป็นผู้ใหญ่เท่านั้น
Q: ทำไมตอนจบถึงไม่เหมือนในคอมิก?
A: เป็นการตัดสินใจของผู้กำกับและทีมเขียนบทครับที่ต้องการจะเปลี่ยนตอนจบให้ “สมจริง” และเข้ากับโทนของภาพยนตร์มากขึ้น ซึ่งเป็นประเด็นที่แฟนๆ คอมิกถกเถียงกันมากที่สุด แต่เวอร์ชั่นหนังก็ยังคง “สาระสำคัญ” ของตอนจบเดิมเอาไว้ได้
บทสรุป: Watchmen คือภาพยนตร์ที่ทั้งยิ่งใหญ่, งดงาม, ท้าทาย, และจะติดอยู่ในใจของคุณไปอีกนาน เป็นการดัดแปลงที่ซื่อตรงและทะเยอทะยานที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์หนังจากคอมิก หากคุณเป็นคอหนังตัวจริงที่มองหาอะไรที่มากกว่าแค่ความบันเทิง… นี่คือหนังที่คุณห้ามพลาด (โดยเฉพาะในเวอร์ชั่น Ultimate Cut!)