นักแสดงนำและผู้กำกับ
- อูม่า เธอร์แมน (Uma Thurman) รับบทเป็น เจ้าสาว / บีทริกซ์ คิดโด้: บทบาท “ไอคอนิก” ที่สุดในชีวิตของเธอ! การแสดงที่ทั้งแข็งแกร่ง, เปราะบาง, และเต็มไปด้วยความแค้น
- ลูซี่ หลิว (Lucy Liu) รับบทเป็น โอ-เรน อิชิอิ
- วิวีก้า เอ. ฟ็อกซ์ (Vivica A. Fox) รับบทเป็น เวอร์นิต้า กรีน
- เดวิด คาร์ราดีน (David Carradine) รับบทเป็น บิล (แม้จะปรากฏตัวแค่เสียงและมือในภาคนี้)
- ซอนนี่ ชิบะ (Sonny Chiba) รับบทเป็น ฮัตโตริ ฮันโซ
- ผู้กำกับ/เขียนบท: เควนติน ทาแรนติโน (Quentin Tarantino) ปรมาจารย์ผู้สร้างสรรค์ผลงานสุดกวนและมีสไตล์ไม่เหมือนใคร! (Pulp Fiction, Reservoir Dogs)
โปสเตอร์หนัง



รีวิวและบทวิเคราะห์
Kill Bill: Vol. 1 คือภาพยนตร์ที่ “สไตล์คือเนื้อหา” อย่างแท้จริง
- สไตล์ภาพสุดจัดจ้าน: นี่คือจุดเด่นที่สุด! ทาแรนติโนใช้ทุกเทคนิคทางภาพยนตร์ที่เขานึกออก ทั้งภาพสีสดใส, ภาพขาว-ดำ, ฉากแอนิเมชั่นสไตล์ญี่ปุ่น, และการตัดต่อที่ฉับไว เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร
- การคารวะหนังคลาสสิก: หนังเรื่องนี้คือ “จดหมายรัก” ถึงหนังแอ็คชั่นที่ทาแรนติโนเติบโตมาด้วย ทั้งหนังซามูไร, Kill Bill 1 หนังกังฟูของชอว์บราเดอร์ส, ไปจนถึงหนังยากูซ่า
- แอ็คชั่นเลือดสาดสุดเวอร์: ฉากต่อสู้ในเรื่องนี้ โดยเฉพาะ “ฉากในภัตตาคารใบไม้สีฟ้า” (House of Blue Leaves) ที่เจ้าสาวต้องปะทะกับกองทัพ Crazy 88 คือหนึ่งในฉากแอ็คชั่นที่ “ยิ่งใหญ่”, “ออกแบบท่าต่อสู้ได้สวยงาม”, และ “เลือดสาด” ที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์!
- ครึ่งแรกของการเดินทาง: สิ่งสำคัญที่ต้องจำคือ นี่เป็นเพียง “ครึ่งแรก” ของเรื่องราวทั้งหมด หนังจบลงแบบค้างคาเพื่อปูทางไปสู่ Vol. 2 ที่จะมาเฉลยปมต่างๆ และปิดฉากการล้างแค้น
- IMDb: ให้คะแนนสูงถึง 8.2/10
- Rotten Tomatoes: ได้รับคะแนนจากฝั่งนักวิจารณ์อย่างท่วมท้นถึง 85% (Certified Fresh)
เด็กน้อยวิจารณ์หนัง
⭐ ึฝๅจ
– เวลาที่แอดมินดูหนังเรื่องนี้ทีไร มักจะนึกถึงเพื่อนรักคนนึงของแอดมินเสมอครับ ซึ่งเพื่อนผมคนนี้ชอบหนังเรื่องนี้มากๆ จนถึงขั้นซื้อหนังเรื่องนี้มาดูจนแผ่นพังไปเลยครับ 555 มาเข้าเรื่องดีกว่าครับ สาเหตุที่มีหนังเรื่องนี้ขึ้นมา ก็เพราะความรักครับ ใช่แล้วครับ แอดมินพูดถูกแล้ว เป็นเพราะความรักที่ผู้กำกับหนังเรื่องนี้อย่าง เควนติน ทาแรนติโน่ มีต่อหนังจีนยุคชอว์ บราเดอร์ ที่เควนตินชอบดูเอามากๆ บวกกับเควนติน ชอบดูหนังที่เกี่ยวกับซามูไรอยู่แล้วด้วย เลยทำให้เจ้าตัวเขียนบทหนังเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างเมามัน โดยเขียนถึงเรื่องราวที่เกี่ยวกับความรักและการล้างแค้น โดยเจ้าตัวได้จินตนาการไว้ในหัวอยู่แล้วว่าคนที่จะมารับบทนี้ต้องเป็น ” อูม่า เธอร์แมน ”
คนเดียวเท่านั้น ซึ่งแน่นอนครับ อูม่า เธอร์แมน ก็ตอบตกลงมารับบทนำในทันที ซึ่งแอดมินพอได้ดูแล้ว ชอบฉากเปิดตัวครับ คือ เป็นการโดนสังหารโหดจากอดีตคนรักของเธอ โดยที่ตัวนางเอกในเรื่องได้หนีมาแต่งงานและกำลังตั้งท้องแก่ แต่กลับโดนสังหารจากอดีตคนรักเก่าของเธอซึ่งเป็นถึงนักฆ่าสุดโหด โดยที่เธอยังไม่ตายและอยู่ในอาการโคม่าถึง 4 ปี โดยแค่ฉากเปิดตัวและเล่าเรื่อง ก็ถือว่าดีเยี่ยมแล้วครับ แถมตัวหนังยังเล่าถึงประวัติของตัวละครแต่ละคนที่เกี่ยวข้องกับเธอโดยตรง ซึ่งแน่นอนเควนตินได้ใส่มุกในสไตล์ดำเนินเรื่องแบบจิกกัดสังคมได้เป็นอย่างดี ซึ่งแอดมินก็ชอบในจุดที่เควนตินได้เล่าเรื่องอย่างเมามันในแบบของเขาครับ ซึ่งจะขอเล่าเป็นประเด็นดังนี้ครับ
– ประเด็นแรกคือ ความหลากหลายทางเชื้อชาติ ที่ผู้กำกับเควนติน ได้เล่าถึงวัฒนธรรมของแต่ละประเทศในเรื่องได้เป็นอย่างดี โดยเล่าถึงอิทธิพลของยากูซ่าญี่ปุ่น การตีดาบซามูไร การฝึกกำลังภายในของจีน การแต่งตัวแบบคาวบอยตะวันตก และรถแต่งแบบเม็กซิกัน ซึ่งถ้าเปรียบเป็นเหมือนกับอาหาร ก็เหมือนกับเควนติน ทำยำรวมมิตรให้คนดูอย่างเราๆ ได้ทานและชิมกันอย่างเอร็ดอร่อยและลงตัวอย่างบอกไม่ถูกไปเลยครับ
– ประเด็นที่สอง คือ การล้างแค้นครับ หนังเล่าถึงแค้นของนางเอกที่มีต่อตัวร้ายอย่างบิล ซึ่งในอดีตทั้งคู่เคยเป็นคนรักกัน แต่เพื่ออนาคตของตัวลูกของเธอที่กำลังจะเกิดมา เลยทำให้เธอได้วางมือจากการเป็นนักฆ่าครับ แน่นอนทำให้บิลไม่พอใจเลยสังหารโหดขึ้นมา แน่นอนเธอเลยย่อมกลับมาล้างแค้นให้สาสม ซึ่งตรงจุดนี้คนดูอย่างเราๆ รู้สึกเห็นใจในตัวของนางเอกและยอมรับในเหตุผลของเธอที่ต้องการจะล้างแค้น โดยที่เธอทำไปนั้น คือมีเหตุผลเดียว คือเธอต้องการลูกของเธอกับคืนมา แน่นอนเควนติน เล่ารายละเอียดของความแค้นของนางเอกได้เป็นอย่างดี แถมสอดแทรกมุกตลกร้ายจิกกัดสังคมได้อย่างลงตัว
– ประเด็นสุดท้ายคือ เรื่องของความรักครับ ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลที่จะทำเหตุการณ์ต่างๆให้เกิดขึ้นมาครับ โดยมีตัวแปร คือ คำว่า รัก ครับ โดยบิลรักนางเอกมาก รักมากจนไม่ยอมยกเธอให้กับใคร ซึ่งรักประเภทนี้ น่ากลัวนะครับ คือ ประมาณแบบว่ารักมาก ก็ย่อมเกลียดมาก อะไรประมาณนั้นครับ ส่วนความรักของนางเอก คือ ความรักของแม่ที่มีให้กับลูก โดยเธอได้มองถึงอนาคตของลูกของเธอ โดยเธอคิดว่าลูกของเธอมีอนาคตที่ดีกว่า โดยไม่ต้องมาใช้ชีวิตแบบนักฆ่าตามเธอ โดยเธอวางแผนกับลูกของเธอตั้งแต่ยังท้อง ซึ่งหนังก็เล่าอธิบายถึงความรักของคนสองคนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเป็นอย่างดี โดยมีการนำเอาส่วนเรื่องของความรักนี้ไปเล่าต่อยอดอีกทีนึงในภาคต่อไปครับ
– สรุปแล้ว Kill Bill 1 ถือว่าดูได้แบบเพลินๆครับ หนักสนุก บทสนทนาคมคายตามแบบฉบับเควนติน ดนตรีประกอบเพราะเหลือร้าย และโหดเลือดสาดได้ใจทีเดียวเชียวครับ
– แอดมินใจแทบละลายเสมอเวลาที่ ชิอากิ คูริยาม่า ปรากฏตัว ( และตายได้แบบไม่เห็นใจในความสวยของเธอเลย เฮ้อๆ )
* งดเล่าเรื่องย่อนะครับ เพราะตัวหนังไม่มีอะไรมาก นอกจากผัวฆ่าเมีย เมียตามล้างแค้นผัว แต่เดินเรื่องอย่างเมามันจนมี 2 ภาคครับ 555 *
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
หากคุณหลงใหลในหนังแอ็คชั่นที่มีสไตล์จัดจ้านและเต็มไปด้วยการล้างแค้น เราขอแนะนำ:
- Kill Bill: Vol. 2 (2004): ภาคต่อที่ “ต้องดู” เพื่อให้เรื่องราวสมบูรณ์!
- Pulp Fiction (1994): อีกหนึ่งมาสเตอร์พีซของทาแรนติโน ที่เต็มไปด้วยสไตล์และความกวน
- Oldboy (2003) เคลียร์บัญชีแค้นจิตโหด: หนังล้างแค้นจากเกาหลีใต้ที่ดิบเถื่อนและหักมุมไม่แพ้กัน
- Sin City (2005) ซิน ซิตี้ เมืองคนตายยาก: หากคุณชื่นชอบสไตล์ภาพที่ถอดแบบมาจากคอมิก
คำถามที่พบบ่อย (Q&A)
Q: หนังเรื่องนี้โหดและเลือดสาดมากแค่ไหน?
A: โหดและเลือดสาดมากที่สุดเรื่องหนึ่ง! แต่เป็นความรุนแรงที่ “มีสไตล์” และ “เหนือจริง” เหมือนในการ์ตูน ไม่ได้สมจริงจนน่าขยะแขยง เหมาะสำหรับผู้ชมที่เป็นผู้ใหญ่และรับความรุนแรงระดับสูงได้
Q: เป็นแค่หนังแอ็คชั่นเอามันส์อย่างเดียวหรือเปล่า?
A: ไม่ใช่แค่แอ็คชั่น แต่มันคือหนัง “สไตล์ทาแรนติโน”! ซึ่งหมายความว่ามันจะมีบทสนทนาที่คมคาย, การเล่าเรื่องที่ไม่เป็นเส้นตรง, เพลงประกอบสุดเจ๋ง, และการคารวะหนังเรื่องอื่นๆ อยู่เต็มไปหมด
Q: ทำไมต้องแบ่งเป็น 2 ภาค?
A: เดิมทีทาแรนติโนตั้งใจจะสร้างเป็นหนังเรื่องเดียว แต่ด้วยความยาวที่มากเกินไป (กว่า 4 ชั่วโมง) สตูดิโอจึงตัดสินใจให้แบ่งออกเป็น 2 ภาคครับ ซึ่ง Vol. 1 จะเน้นไปที่แอ็คชั่นสไตล์ตะวันออก ส่วน Vol. 2 จะเน้นดราม่าและสไตล์คาวบอยตะวันตก
บทสรุป: Kill Bill: Vol. 1 คือภาพยนตร์แอ็คชั่นระดับมาสเตอร์พีซที่ทั้งเท่, ดิบ, และมีสไตล์อย่างหาตัวจับยาก เป็นการระเบิดพลังความคิดสร้างสรรค์ของ เควนติน ทาแรนติโน และการแสดงที่น่าจดจำที่สุดของ อูม่า เธอร์แมน หากคุณเป็นแฟนหนังแอ็คชั่น… นี่คือหนังที่คุณ “ต้องดู” สถานเดียว!